Title : [Fic] หมอ...llจิตll
Writer : GroupBee + KJW
Couple: YunJae , YooSu , MinRic
Genre : Drama, Erotic
NC : PG
Part…5 คนเห็นแก่ตัว...น่าสงสารที่สุด!
ชั่วโมงการเรียนเศรษฐศาสตร์ที่จุนซูเกลียดนักเกลียดหนาใช้เวลาเรียนราวๆสองชั่วโมงครึ่งโดยประมาณผ่านไปอย่างรวดเร็วจุนซูเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าครั้งที่ผ่านๆมาเค้าทั้งเฝ้าภาวนาและอ้อนวอนให้คาบเรียนที่น่าเบื่อนี้จบๆไปซะที แต่เมื่อได้มาพบกับอาจารย์หนุ่มนามว่าปาร์ค ยูชอนทุออย่างก็เปลี่ยนไป คนตัวเล็กดูเอาใจใส่กับการเรียนเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับวิชา ‘เศรษฐศาสตร์’
“เฮ้ย...หมดคาบเรียนแล้วหรอ...เร็วจังTT”เสียงหวานฟังดูไม่ค่อนสดชื่นหันไปพูดกับคนข้างๆกายที่ไม่ได้กำลังฟังในสิ่งที่ตนพูดเลยหากแต่กำลังสนทนาพูดคุยกับใครอีกคนผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าโทรศัพท์อยู่
“ครับ...เลิกเรียนพอดีเลยแล้วเจอกันครับ”ว่าจบก็กดตัดสายริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มละมุนจนจุนซูที่เฝ้ามองปฏิกริยาเพื่อนรักอยู่ถึงกับออกอาการหมั่นไส้
“จุนซู...วันนี้ชั้นกลับก่อนนะ นายกลับเองได้ใช่มั้ย?”
“แล้วถ้าชั้นกลับเองไม่ได้นายจะไปส่งชั้นอย่างนั้นหรอ?” ศีรษะกลมส่ายไปมาเชิงปฏิเสธ ก่อนจะอมยิ้มน้อย น้อยเมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อ
“ชริ!จะไปไหนก็ไปเลย ชั้นโตแล้วกลับเองได้ ไม่ต้องมาห่วงแล้วก็ไม่ต้องมาถาม” คนแสนงอนสะบัดใบหน้าเชิดไปอีกทาง
“ฮ่าฮา...ล้อเล่นน่า...วันนี้ชั้นมีนัดกับโบอาจริงๆไม่งั้นชั้นไปส่งนายแล้ว
ใครจะปล่อยให้เพื่อนหน้าตาน่ารักขนาดนี้ ต้องเดินคอตกกลับบ้านคนเดียว...เหงาแย่” ไม่พูดเปล่า คนทิ้งเพื่อนยังหยิกสองแก้มยุ้ยเล่นเบา เบาอย่างหมั่นเขี้ยว
“ย๊ากกก...จะซ้ำเติมกันไปถึงไหน...รีบไปเลยนะก่อนที่ชั้นจะลากนายไปส่งแทนที่จะไปกับแฟน” คนถูกทิ้งเริ่มโวยวาย สองมือขยี้ข้างแก้มป่อง พร้อมส่งสายตาพิฆาตไปให้คนช่างแกล้ง
“ฮ่าฮา...แกล้งจุนซูอ่ะสนุกที่สุดแล้วจะบอกให้...เฮ้ยยย!!!” หัวเราะยังไม่ทันหายสะใจ คนขี้แกล้งก็รีบคว้ากระเป๋าเป้ใบโตพร้อมหมุนตัวหลบคลีบของโลมาที่กำลังสะบัดมาด้วยแรงโมโหไปอย่างหวุดหวิด
‘ล้ออะไรไม่ล้อมาล้ออยู่ได้ไอ้เรื่องฟงเรื่องแฟนเนี่ย ก็ผมยังไม่มีนี่ฮะ ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไรออกจะน่ารัก นิสัยดีซะด้วยซ้ำ การเรียนผมก็โอเคนะฮะแค่มันติดตรงที่ว่าผมไม่เก่งวิชาเศรษฐศาสตร์เอาซะเลย แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นหรอกฮะเพราะประเด็นที่ว่ามันอยู่ตรงที่ผมยังไม่มีแฟน พวกคุณคงนึกถึงเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักกันอยู่ล่ะสิท่า
แต่.... ไม่ใช่หรอกฮะ
เพราะ.... ผมไม่ชอบผู้หญิง
คิม จุนซูคนนี้เป็นเคะ แล้วก็ชอบเมะเอามากๆเลยด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงหาคนที่ใจตรงกับผมได้ยากเย็นขนาดนี้ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ’
กลับบ้านคนเดียว...เหงาแย่
นึกถึงคำพูดของแจจุงทีไรมันก็จี๊ดขึ้นมาทันทีเลย แต่ถ้าให้แจจุงมีความสุขไปแบบนี้แล้วผมต้องไม่มีแฟนผมก็ยอมฮะก็แจจุงเจออะไรที่แย่ๆมาเยอะแล้วและการที่แจจุงได้โบอาเป็นแฟนก็ถือว่าโชคดีมาก
ทั้งคู่เรียนคนละคณะกันแต่ก็อยู่มหาลัยเดียวกัน มีความคิดความชอบอะไรคล้ายๆกันด้วยเหตุนี้เวลาอยู่ด้วยกันมันก็เลยทำให้แจจุงเพื่อนผมคนนี้สบายใจฮะและในที่สุดแจจุงก็ขอโบอาคบเป็นแฟน ถ้าให้นับจริงๆนี่ก็เกือบจะสองปีเข้าไปแล้ว ทุกวันผมเฝ้าภาวนาของพรจากผู้เป็นเจ้าขอให้ความรักของทั้งสองเกิดขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ใช่ความรักที่แจจุงสร้างมันขึ้นมาเพื่อปกปิดอะไรในใจ ความรักที่โบอามีต่อแจจุงมันทั้งยิ่งใหญ่และขาวสะอาดซึ่งผมก็รับรู้ได้ ผมหวังว่าความรักของโบอาจะเป็นสิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตใจที่บอบช้ำของแจจุงให้ดีขึ้น เพื่อนของผมคนเดิม คิมแจจุงคนเดิมจะได้กลับมาสักที
...ผมยังเฝ้าภาวนา...
ภวังค์ที่จุนซูสร้างมันขึ้นมาเหมือนฟองอากาศลูกกลมๆที่เปราะบางแต่ฟองอากาศที่ว่าก็ไม่อาจที่จะลอยอยู่ในอากาศได้นานสมใจเมื่อเสียงห้าวๆหากแต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทเข้าอย่างจัง
~ โบ๊ะ! ~
“คิม จุนซู”
“...........”ไร้ซึ่งการตอบรับจุนซูทำเหมือนกับคนที่เรียกเค้าไม่มีตัวตนเอาเสียเลย
“นักศึกษาคิม จุนซู!”อาจารย์หนุ่มเอ่ยชื่อร่างบางที่กำลังเหมือนคนไม่มีสติเข้าไปทุกทีอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“อะ...เอ่อ...ฮะ...อาจารย์ปาร์ค”
“ใจลอยอะไรอยู่...เพื่อนๆเค้ากลับกับหมดแล้วเธอนั่งรออะไรเดี๋ยว แม่บ้านเค้าก็จะมาปิดประตูแล้วนะอยากโดนขังอยู่ที่นี่จนถึงเช้าหรือไง?”
...ถ้าได้อยู่กับอาจารย์ ก็โอเค...
“เอ่อ...ฮะ”
“อะไรนะ”
หรือเราจะคิดดังไป
ไม่น่า จะใช่หรอก...มั้ง????
“อะ...เอ่อ...ผมว่าอะไรหรอฮะ?”
“จุนซูครูว่าเธอไม่สบายแน่ๆเลย...หน้าแดงเชียว ไป เดี๋ยวครูจะพาเธอไปห้องพยาบาลนะ” จบคำพูด คุณครูหนุ่มก็ไม่รอช้ามือหนายกขึ้นโอบรอบบ่าประคองคนตัวเล็กที่ตนเองเข้าใจผิดคิดว่าป่วยเพราะจากที่เห็นจุนซูดูแย่มากเลย
“เดินไหวมั้ย?” ครูหนุ่มถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่ไหวแล้วอาจารย์จะอุ้มผมหรอฮะ?”คนป่วย บ่นงุบงิบอยู่คนเดียว
“เธอว่าอะไรนะครูได้ยินไม่ถนัด?”
“ผะ...ผมเดินไหวฮะอาจารย์”
“จุนซูเธอเรียกชั้นว่าครูดีกว่านะชั้นไม่คุ้นกับการถูกเรียกว่าอาจารย์น่ะ^^”
“ครับ...คุณครู” จุนซูก้มหน้างุดจนคางมนชิดติดกับหน้าอกด้วยความเขินอาย แค่ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้ เขาก็รู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่เป็นตัวของตัวเองจะแย่แล้วนี่... ยูชอนเล่นพูดใกล้ๆแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนใบหน้าเริ่มจะร้อนผ่าว ราวกับจะเป็นไข้ จุนซูรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้เคียงคนป่วยเข้าไปทุกที ทุกที
...คุณครูจะได้ยินมั้ยฮะ เสียงหัวใจของผม...
ทั้งใบหน้าแดงก่ำ เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตเกาะพราวอยู่บนใบหน้าและเปียกชื้นที่ปลายเส้นผม เสียงลมหายใจติดขัด
อาการน่าเป็นห่วง ท่าทางจะไม่กล้าบอกเขาว่าเป็นอะไร
ต้องรีบพาจุนซูมาที่ห้องพยาบาลให้เร็วที่สุดและส่งตัวนักศึกษาให้กับครูประจำห้อง
“ไม่สบายน่ะครับ...ผมฝากเค้าด้วยนะฮะต้องไปสอนต่อแล้ว...หายเร็วๆนะจุนซู ^^”ไม่ลืมที่จะหันมาพูดกับคนป่วย ก่อนที่จะเดินจากไป จุนซูเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ทำให้ตัวเองเกิดอาการราวกับเป็นไข้ จนสุดสายตา แค่เพียงแผ่นหลัง คนป่วยก็ถึงกับยืนยิ้มบิดไปบิดมา กับคำพูดธรรมดา แต่ทำเอาหัวใจเขาพองโต สายตายังไม่อาจละไปจากทางเดินนั่น แม้ว่าคน คนนั้นจะเดินไปจนพ้นระยะสายตาตนเองแล้วก็ตาม จุนซูยังคงจ้องมองราวกับว่าสิ่งนั้นช่างน่าสนใจไม่อยากแม้แต่กระพริบตา กลัวเหลือเกินว่าภาพตรงหน้าจะหายไป (จุนซูประมาณเข้าขั้นเพ้อออ~~~)
“เป็นอะไรมาจ๊ะ”เสียงคุณครูสาวท่าทางใจดีเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มดูเป็นมิตร เรียกสติของคนป่วยกลับมาอีกครั้ง
“ผม...ปวดหัวฮะ” โกหกออกไปคำโตเพราะยูชอนเข้าใจผิดคิดว่าเค้าไม่สบายจุนซูเลยต้องทนกินยาแก้ไข้เม็ดกลมสีขาว โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พูดออกไปเลยสักนิด
แต่มันก็คุ้มไม่ใช่หรอ???...ผมยอมป่วยเป็นไข้ใจสักพักก็ได้ฮะ>//<(อ้วกกกกกก)
สวนสาธารณะในยามเย็นช่างดูรื่นรมย์ ร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ยังคงเป็นสถานที่พักผ่อนของบุคคลที่สัญจรผ่านไปมาได้หยุดพักคลายความเหนื่อยและเมื่อยล้าจากแสงแดดที่ร้อนแรง เก้าอี้ไม้ตัวยาวสีน้ำตาลมีกระเป๋าสองใบวางอยู่แทนที่ไร้เงาของเจ้าของ บนพื้นหญ้าสีเขียวขจีกลับเป็นที่นั่งพักพิงที่แสนสบาย เมื่อแจจุงและโบอาเลือกที่จะนั่งยืดขาเหยียดยาวไปข้างหน้า สายตายังคงจับจ้องไปยังลำธารที่นิ่งสงบตรงเบื้องหน้าต่างกับจิตใจของชายหนุ่ม มันราวกับเกลียวคลื่นในท้องทะเลกว้างที่กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นมรสุมรุนแรง
ริมฝีปากอิ่มสีชมพูสดไม่แพ้หญิงสาวพ่นกลุ่มควันสีขาวขุ่นให้ลอยออกมาแทนที่อากาศบริสุทธิ์ ดวงตากลมโตยังคงจดจ้องธาตุอากาศอย่างเลื่อนลอย จริงอยู่ที่แจจุงเป็นคนสูบบุหรี่ แต่การที่จะมาสูบต่อหน้าเธอนั้นแทบจะนับครั้งได้ ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ แจจุงดูแปลกไป สีหน้าหมอง ดูเหมือนคนมีอะไรให้ขบคิดอยู่ตลอดเวลา โบอาหันมองยังแฟนหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“แจจุง...มีอะไรหรือป่าว?” ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามออกไปในที่สุด ดวงตาที่เหม่อลอยออกไปไกลหันกลับมามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนสาว
“ป่าวครับ...ไม่มีอะไรหนิ”
“งั้นแจจุงก็เลิกสูบบุหรี่ได้แล้วมันไม่ดี”
“เอ่อ...ครับผมก็แค่อยากสูบมันเฉยๆ” มวลบุหรี่ถูกยกขึ้นมาก่อนจะถูกอัดแรง แรง เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกดขยี้ด้านที่มีไฟสีแดงอมส้มลงบนพื้นหญ้าจนมันค่อยมอดและดับไป
“โบอา...ไปบ้านผมกันมั้ย?”
“คะ...?”สีหน้าที่ดูจะค่อยเข้าใจในความหมายของคนพูด แจจุงเลยได้แต่ยิ้มออกมาแทน
“กลับกันเถอะครับนี่ก็เย็นมากแล้ว” เขาเลือกที่จะบอกปัด แทนการตอบคำถามแล้วเปลี่ยนทิศทางของจุดหมาย ก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าทั้งสองใบขึ้นมาพาดบ่า ข้อมือขาวยื่นออกไปข้างหน้าเพราะหญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนฉุดลุกขึ้นมาเพื่อจะพาไปส่งบ้าน ถ้าโบอาไม่เต็มใจแจจุงก็ไม่อยากจะฝืนหรือทำอะไรที่มากไปกว่านั้นเพราะเขารู้ดีว่าการขืนใจมันทรมานมากแค่ไหน...เขารู้ดี ออกเดินตามไปสักพักแรงฉุกที่ข้อมือก็ทำให้ใบหน้าหล่อหันกลับมายังร่างที่ไม่ใหญ่ไปกว่ากันเท่าไหร่นัก
“มีอะไรหรอ?”
“ก็...ไปบ้านแจจุงไง”พูดด้วยความเขินอาย
โบอารู้ดีว่าแจจุงเป็นคนดีและให้เกียรติกับตัวเค้ามากแค่ไหนการคบหาดูใจกันมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี...
บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ พูดจบก็เดินนำออกไปก่อนที่จะได้เห็นใบหน้าแดงๆที่กำลังเขินอายนี้ทิ้งให้แจจุงยังคงยืนอยู่กับที่เหมือนหุ่นต้องคำสาบ คนที่เตรียมใจกับเรื่องแบบนี้มาก่อนแล้วอย่างผม ทำไมถึงได้รู้สึกกดดันแบบนี้นะ...
‘นายจะกดดันตัวเองไปทำไม...แจจุง’
บ้านหลังเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็กไปซะทีเดียวดูอบอุ่นทุกครั้งที่ได้กลับมา รั้วบ้านสีกาแฟอ่อนๆตัดกับกับพุ่มไม้สีเขียวขจีแต่งแต้มด้วยความงามสีชมพูระเรื่อของกุหลายดอกโต ตัวบ้านสีครีมตัดกับหลังคาบ้านสีชมพูเข้มช่างอ่อนหวานราวกับเป็นบ้านในฝัน บ้านที่เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายของพ่อและแม่ที่มอบไว้ให้ก่อนจะจากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ บ้านของสองพี่น้องตระกลูคิมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความรัก ความเอาใจใส่ บ้านที่แสนอบอุ่นยิ่งกว่าที่ที่ไหนบนโลกใบนี้
“นั่งก่อนสิครับ”เอ่ยปากชวนตามแบบเจ้าของบ้านพึงกระทำ แก้วน้ำเย็นวางลงตรงหน้าหญิงสาวพร้อมกับการพูดคุยตามภาษาคนรักก็เริ่มต้นขึ้น
“วันนี้พี่ฮีชอลไม่อยู่น่ะ”
“พี่ฮีชอลคงทำงานหนักมากๆเลย...โบอาอยากมีพี่ชายแบบนี้บ้างจัง”หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงโบอาจะคบกับแจจุงก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะพาเธอมาที่บ้านแบบนี้บ่อยๆนานๆครั้งถึงจะมีโอกาสได้มาและทุกๆครั้งพี่ฮีชอลจะเป็นคนเอ่ยชวนด้วยซ้ำไปแถมยังคอยเอาขนมที่ทำมาเสริฟให้ทานอีกต่างหาก แต่วันนี้กลับผิดแปลกไปที่แจจุงเป็นคนเอ่ยชวนและที่สำคัญยังอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“เดี๋ยวไม่นานแจจุงก็ต้องอยู่คนเดียวแล้วล่ะถ้าพี่ฮีชอลผ่านการคัดเลือกไปอบรมเป็นบาร์เทนเดอร์น่ะ”
“จริงหรอ?”
“อืม...เป็นความฝันสูงสุดของพี่เค้าเลยแต่แจจุงก็ไม่อยากให้พี่ฮีชอลไปเท่าไหร่หรอก”
“ทำไมล่ะ?”เอ่ยถามออกไปเมื่อคนตรงหน้าดูมีแววตาโศกเศร้า
“เพราะผมต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ...ผมไม่ชอบอยู่คนเดียว”
อยู่คนเดียวทีไร...ผมก็คิดมาก…เรื่องไม่เป็นเรื่อง
เรื่อง...ในวันนั้น
“ไหนบอกว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไง แบบเนี่ยเค้าเรียกว่า ติดพี่ชายรู้มั้ย?”สีหน้าของแจจุงทำอย่างกับว่ามีเรื่องราวอะไรจนโบอาอดห่วงไม่ได้ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง...แจจุงบางทีก็ทำตัวเหมือนเด็ก
“เป็นผู้ใหญ่แล้วติดพี่ชายตัวเองไม่ได้หรือไงครับ...หืม?”จมูกโด่งรั้นฝังลงไปยังแก้มเนียนของหญิงสาวด้วยความรักใคร่???
“ฮ่าฮา...ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย โบอารู้ว่าแจจุงรอพี่ฮีชอลได้อยู่แล้ว...เพื่ออนาคตของพี่ฮีชอลไงใช่มั้ย?”
“ครับ...เพื่ออนาคตของพี่ฮีชอล ถ้าพี่ฮีชอลไม่อยู่แจจุงก็ต้องนอนคนเดียว...อยากให้โบอามานอนเป็นเพื่อนจังเลย”
“แจจุงคะ...โบอาเป็นผู้หญิงนะเดี๋ยวมันจะดูไม่ดีรู้มั้ย...อีกอย่างพี่ฮีชอลก็ยังไม่ได้ไปด้วย”
“โบอาไม่อยากมานอนกับผมหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย...เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วไม่เห็นจะน่ารักเลยนะ”มือบางออกแรงบิดยังปลายจมูกได้รูปของคนขี้งอนช่างเอาแต่ใจ
ใบหน้าของแจจุงเลื่อนมาใกล้โบอามากขึ้นๆจนทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ห่างกันแค่เพียงสายลมพัดผ่าน เปลือกตาบางของหญิงสาวปิดลงรอรับกับสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของคนตรงหน้าที่ตั้งใจหยิบยื่นมาให้ รสจูบที่เบาบางทวีความร้อนแรงหนักหน่วงในภายหลัง แจจุงขึ้นคร่อมร่างบอบบางนั้นไว้จนโบอาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาหนังสีเข้ม เปลือกตาบางหลับสนิท รู้สึกตัวเกร็งน้อยๆกับสัมผัสที่จาบจ้วงบริเวณซอกคอ โบอาไม่ได้มีท่าทีขัดขืนถึงแม้ว่าในใจจะหวาดกลัวอยู่บ้างก็ตามที แต่ถ้าเป็นแจจุงคนที่เขารักสุดหัวใจเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว เสียงครางอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์คงเป็นวิธีที่ช่วยคลายความหวาดกลัวใจจิตใจได้บ้างเพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคงไม่ใช่แค่จูบอย่างที่เคยทำแต่มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้นแน่นอน...
สำหรับโบอา...นี่คือครั้งแรก
แต่สำหรับแจจุงคงเปรียบได้กับเปลวไฟที่ร้อนแรงถ้าจะให้ดับมอดลงไปในตอนนี้คงจะทำได้ยาก มือปลาหมึกลูบไล้ไปทั่วเรือนกายคนใต้ร่างออกแรงบีบเคล้นคลึงไปทั่วทรวงอกงดงามได้รูป อย่างเมามัน
ในขณะที่ริมฝีปากยังคงไม่ละออกไปจากกลีบปากสีสวยไม่แพ้กัน กระดุมถูดปลดไล่ลงมาจนถึงเม็ดสุดท้ายเผยให้เห็นชุดชั้นในดูเซ็กซี่ยั่วยวน ดวงตากลมโตปรือขึ้นมองตั้งแต่ใบหน้าไล่ต่ำลงมายังหน้าอกอวบอิ่มเต่งตึงจากแรงอารมณ์ แจจุงไม่มีท่าทีรีบร้อนสองมือค่อยๆดึงชุดนักศึกษาออกแต่ก็ยังไม่ได้หลุดไปจากกายซะทีเดียวคอเสื้อห้อยลงมารั้งที่ด้านหลัง โชว์ช่วงคอเนียนสวยน่าสัมผัส มือสวยลากต่ำลงมาถึงชายกระโปรงสีดำเข้มตามมาก่อนที่จะรั้งขอบกระโปรงขึ้นมาช่วงสะโพกอวบอิ่ม ก่อนจะเริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองออกทีละชิ้นจนพ้นตัว คงเหลือไว้แต่เพียง กางเกงแสล็คเข้ารูปเพียงตัวเดียว กับร่างกายที่ผอมบางที่ไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนชายชาตรีทั่วๆไปเป็น นี่คือสิ่งที่แจจุงนึกเกลียดตัวเองเป็นที่สุด มันเปรียบเสมือนกับปมด้อยในจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นบวกกับแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงจากยาที่ตนเองได้กินเข้าไปเขาไม่อาจที่จะหยุดยั้งความต้องการ กิจกรรมรักกำลังจะเริ่มขึ้น เดี๋ยวนี้รอยยิ้มบางๆกับ ท่าทีเขินอายของโบอา ในตอนนี้มันดูราวกับชวนเชิญซะมากกว่า
ริมฝีปากปากบางกดจูบไปยังหน้าผากมน ฝังจมูกแรงๆข้างแก้มนวลที่ขึ้นสีจัดอย่างเอียงอาย เรียวปากสวยเขาค่อยๆเลื่อนมาหยุดตรงริมฝีปากอ่อนนุ่มอีกครั้งหนึ่งอย่างใจเย็น มืออุ่นจัดบีบเคล้นทรวงอกอวบอิ่มเต็มฝ่ามือ ส่วนอีกข้างก็สาละวนอยู่กับการเค้นคลึงสะโพกกลมมนอย่างเมามัน หญิงสาวแอ่นอกรับพร้อมส่งเสียงครางในลำคอ ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆสะกิดเบาๆ ที่ตะขอชั้นในตัวสวย ก่อนเกี่ยวกางเกงชั้นในตัวบางให้เลื่อนลงมาอยู่เพียงเหนือต้นขา เขาต้องการแค่ให้เพียงพอสำหรับการสอดใส่...เท่านั้น
“อะ...อืม”เสียงหวานเผลอครางออกมาด้วยแรงอารมณ์ การชักนำของแจจุง เริ่มทำให้สติของสาวน้อยนั้นหลุดลอย และเริ่มจะเกิดความต้องการ
“เป็นของผมนะครับ...โบอา” คำพูดเชิงขอ ประชิดติดใบหู ฟังดูอ่อนโยนจนคนฟังได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตตามคำขอนั้น
ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความและให้เสียเวลาอีกต่อไปกิจกรรมรักที่เริ่มต้นมาได้สักระยะก็ยังคงเป็นไปอย่างราบรื่นจากแจจุงที่ยังคงเป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงเวลาที่ความเป็นชายที่กำลังขยายใหญ่ต้องเข้าไปทักทายความบริสุทธิ์และอ่อนนุ่มของหญิงสาวนั้นสักที หากแต่ใบหน้าของแจจุงกลับชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกชุ่มจนน่าผิดสังเกต ใบหน้าที่แสดงถึงความต้องการทางอารมณ์ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความครุ่นคิดคล้ายความกดดัน เมื่อภาพบางส่วนในความทรงจำและความรู้สึกเก่าๆเริ่มก่อตัวฉายเข้ามาในหัวสมองที่ละนิดๆและภายใต้จิตใจที่กำลังร้อนรุ่มเต้นระรัวราวกับจะเผาไหม้แต่ไม่ใช่เพราะความต้องการเมื่อครู่หากแต่เป็นความกลัวที่วิ่งแล่นเข้ามาแทน หญิงสาวรู้สึกถึงความผิดปกติของชายหนุ่มค่อยๆช้อนตาขึ้นมองและก็ต้องตกใจที่ใบหน้าของคนรักบัดนี้ขาวซีดไร้สีเลือดไปหล่อเลี้ยง
“แจจุงเป็นอะไรหรือป่าวคะ?”
“อะ...เอ่อ...ป่าวครับ” แจจุงตอบรับ พยายามจะไม่นึกถึง แล้วหันมาสนใจกับกิจกรรมรักที่ควรจะต้องดำเนินต่อไปสักที
ค่อยๆเลื่อนตัวเข้าไปช้าๆพร้อมที่จะสอดใส่ แต่ก่อนจะทันได้กระทำอย่างใจคิด มันก็ต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง เพราะเรื่องราวในอดีตได้แว๊บผ่านเข้ามาในหัว แจจุงพยายามสะบัดศรีษะแรงๆเพื่อไล่เรื่องราวที่เลวร้ายให้หลุดออกไปและในขณะเดียวกันนั้น ดูเหมือนว่าขีดความอดทนของแฟนสาวก็หมดลง อารมณ์หวามที่อยู่หยุดกลางคันในจังหวะที่เธอกำลังมีความต้องการจนไม่ทันยั้งคิด เมื่อมันเกิดขึ้น ติด กันในหลายๆครั้ง สติของหญิงสาวก็กลับมาและทำให้เธอรู้สึกอายเป็นที่สุด
ยางอาย
นั่นคือ คำที่บอกความรู้สึกของโบอาในขณะนี้
ผู้หญิงอย่างเขาไม่ควรจะมาทำอะไรกับผู้ชายแบบนี้ถึงแจจุงจะเป็นคนรักของเธอก็ตาม แล้วยิ่งเห็นสิ่งที่แจจุงแสดงออกมานั้น ถึงแม้ในตอนแรกจะดูขาดสติกับการกระทำที่ร้อนแรงทำให้เธอปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อย แต่ ณ ตอนนี้ การแสดงออกของแจจุง ทำให้เธอดูเหมือนผู้หญิงใจง่าย ไร้ยางอาย
โบอาดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ช้าไปเสียแล้ว แต่ถ้าเขาจะขอถอนตัวในตอนนี้ มันยังจะทันอยู่มั้ยนะ?
“แจจุง...โบอาว่าเราพอแค่นี้เถอะค่ะ”จะประโยคก็รีบดันตัวชายหนุ่มที่ยังคงมีสีหน้าซีดเซียวให้ออกห่างจากตัวก่อนจะรีบคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายขึ้นมาใส่ ส่วนแจจุงเมื่อมีสติกลับมาเจ้าตัวก็รีบคว้าข้อมือบางที่สั่นเทานั้นเอาไว้
“โบอา...เป็นอะไรไป...ทำไมล่ะ?”แววตาที่เต็มไปด้วยคำถามทั้งๆที่ประโยคคำถามนี้แจจุงควรจะเอ่ยถามกับตัวเองเสียมากกว่า ว่าตัวเค้าเป็นอะไร กำลังคิดอะไรอยู่และจะสานต่อความรู้สึกนี้ต่อไปมั้ย?
“ไม่...ไม่มีอะไรหรอกคะ”
“ทำ...ทำไมล่ะ?”
“โบอาดูเหมือนผู้หญิงไม่ดีเลย”
“โบอา...ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ...อย่าว่าตัวเองแบบนี้อีกนะครับ”
“ฮึก...ที่แจจุงหยุด...หยุดทำแบบนี้เพราะ...เพราะ”
“โบอาคือ...ผมขอโทษ”เมื่อเห็นว่าโบอากำลังจะร้อนไห้ความรู้สึกผิดและความร้อนรนในจิตใจก็เริ่มทำให้แจจุงคิดว่าเค้าไม่น่าทำอะไรที่ไร้สาระและเห็นแก่ตัวแบบนี้เลย
“โบอาเข้าใจค่ะ...ที่แจจุงทำไปเพราะแจจุงไม่ได้ยั้งคิดและที่แจจุงหยุดก็เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลา...มันไม่สมควรใช่มั้ยคะ?”
ไม่ใช่หรอก...แต่เป็นเพราะผมรังเกลียจสัมผัสแบบนี้กับผู้หญิงต่างหาก ผมอยากได้สัมผัสแบบนี้จากผู้ชายคนนั้น...คนที่ผมไม่เคยรู้จัก???
แจจุงรู้สึกว่าโบอาช่างมองโลกในแง่ดี ดีจนบางทีมันอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ และมันอาจจะเป็นพิษภัยต่อตนเองก็ได้
‘อย่ามองผมเป็นคนดีแบบนั้นอีกเลย’
“คะ...ครับ...ผมขอโทษที่ปล่อยให้มันเกินเลยมาถึงขนาดนี้ผมผิดเองที่ไม่ยับยั้งช่างใจ ผม...”นิ้วเรียวยกขึ้นกดที่ริมฝีปากแทนการบอกห้ามของหญิงสาว
“ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ...แจจุงก็หยุดมันทันไม่ใช่หรอ?”
“อะ...อืม...ผมหยุดมันทัน”
หรือ จริง จริง ผมก็แค่.. ทำมันไม่ได้?
ผมหยุดมันทันก็เพราะภาพ...ภาพเลวร้ายที่ตามมาลอกหลอนผม...เกลียด !
“ขอบคุณนะที่ทำให้โบอารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า”อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักโอบกอดรอบเอวของแจจุง
“โบอารักแจจุงที่สุด”
“ผมก็รักโบอาครับ”
‘คุณคิดว่าละครที่ผมเล่นจะตบตาใครๆไปได้อีกนานแค่ไหน? แล้วมันจะผิดมั้ยที่ผมจะยังแสดงละครที่ว่านั้นต่อไปเพื่อปกปิดและหลอกลวงความรู้สึกแปลกๆในใจของตนเอง
ถึงแม้ว่าพยายามจะไม่คิดถึงแต่ผมก็ไม่สามารถที่จะลืมมันได้ สัมผัสของคนคนนั้นยังคงตามหลอกหลอนความรู้สึกของผมอยู่!...ความรู้สึกใจใน
ถึงผมจะรู้สึกผิดต่อโบอาแต่ความเห็นแก่ตัวของผมมันมีมากกว่า ถ้าละครฉากนี้ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างแนบเนียนผมก็ยินดีที่จะแสดงมันต่อไป เพื่อตัวของผมเองเพื่อคนเห็นแก่ตัวที่น่าสงสารที่สุดคนนี้และเพื่อลบล้างความต้องการแบบนั้นในอดีต เมื่อไหร่กันที่มันจะลบเลือนออกไปจากใจของผม...เมื่อไหร่กัน?’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น