Title : [Fic] หมอ...llจิตll
Writer : GroupBee + KJW
Couple: YunJae , YooSu , MinRic
Genre : Drama , Erotic
NC : ?
Part…8 กับดัก!!!
วันนี้เป็นวันที่ชางมินไม่อยากให้มาถึงมากที่สุดกิจกรรมรับน้องที่เค้าถูกอาจารย์หมอบังคับให้มาเป็นหัวหน้าทีมในครั้งนี้เป็นเวลา 1 วัน 1 คืน รถตู้คันสีขาว 12 ที่นั่งถูกจัดเตรียมไว้ให้กับรุ่นน้องและรุ่นพี่ที่กำลังเดินทางมาตามเวลาที่ได้นัดหมายเอาไว้ ร่างสูงโปร่งที่อยู่ในชุดกึ่งทางการดูสบายๆชางมินสวมเสื้อกล้ามสีขาวคลุมทับอีกชั้นด้วยเสื้อแขนยาวตัวบางท่อนล่างก็เป็นเพียงแค่กางเกงขาพอดีเข่าสีน้ำตาลอ่อนกับรองเท้าผ้าใบสีขาวแต่ทำให้ชายหนุ่มที่ว่าดูมีเสน่ห์ ชางมินกำลังสำรวจดูข้าวของเครื่องใช้ที่ได้เตรียมมาพร้อมกับจำนวนคนที่เหมือนจะมากับครบพร้อมที่จะออกเดินทางกันแล้ว
“อ้าว...ฟังทางนี้อีกสิบนาทีเราจะเริ่มออกเดินทางกันแล้วนะครับ”
“แต่ยังมีคนมาไม่ครบแล้วนี่ฮะ”เสียงหนึ่งในรุ่นน้องเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่จะร่วมเดินทางไปด้วยนั้นยังขาดอยู่อีกหนึ่งคน
“ใช่ครับมีคนยังมาไม่ครบ...แต่พี่ไม่เสียเวลารออีกแล้วพี่ไม่ชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลา!”ชางมินเอ่ยน้ำเสียงดูหงุดหงิดชาง
มินเป็นพวกเคร่งในกฎระเบียบอยู่พอตัวและที่สำคัญการเดินทางก็ล้าช้ามาเกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้วเพราะเสียเวลารอคนคนเดียว
“เฮ้ย...ไอ้มินทำแบบนั้นไม่ได้นะโว้ย!”ซงจุงกิรุ่นพี่อีกคนพูดขึ้น
“ชั้นไม่รอแล้วล่ะ...ถ้ายังไงให้เค้าตามไปทีหลังเองก็แล้วกัน”ว่าจบก็สั่งให้ทุกคนขึ้นรถพร้อมกับการเดินทางไปน้ำตก...สถานที่รับน้อง
วิวทิวทัศน์ของน้ำตกทัศนียภาพพื้นหลังเป็นป่าไม้ใบเขียว เสียงสัตว์ป่าร้องก้องไปทั่วราวกับเป็นการต้อนรับแขกผู้มาใหม่ บางทีการมาที่นี่อาจจะมีอะไรดีๆกว่าที่เค้าคิดก็เป็นได้ เมื่อมาถึงยังที่หมายชางมินก็เปิดประตูรถออกมารับบรรยากาศที่แสนสดชื่นเย็นสบาย เสียงน้ำตกฟังดูคล้ายกับเสียงดนตรีไพเราะในความคิดของร่างโปร่งช่างจินตนาการ
“เอาล่ะครับมายืนเป็นแถวกันตรงนี้...ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนพี่ชื่อจางกึนซอก ขวามือคือรุ่นพี่ซงจุนกิ ซ้ายมือคือหัวหน้าทริปในครั้งนี้รุ่นพี่ชิมชางมินจริงๆแล้วพวกน้องๆไม่ได้มีรุ่นพี่กันแค่นี้หรอกนะครับแต่ด้วยความที่พวกพี่เป็นพวกที่ถูกเลือกTT...ซึ่งเราจะแบ่งการดูแลน้องด้วยเกมส์ที่พี่ๆจัดขึ้น พี่ว่าเรามาเล่นเกมส์กันดีกว่าครับ”
“ดะ...เดี่ยวครับ...แฮ่กๆๆ”เสียงใสปนเหนื่อยหอบอยู่ในทีเอ่ยขัดขึ้น นี่คงจะเป็นรุ่นน้องคนสุดท้ายที่มาไม่ตรงเวลาชางมินเลยปล่อยให้เดินทางมาเอง...คงเหนื่อยแย่ ใบหน้าหล่อหันไปทางต้องเสียงก่อนที่ทั้งคู่จะอุทานออกมาพร้อมๆกัน
“นาย!”
“นาย!”
“เอ่อ...เดี๋ยวนะนายสองคนรู้จักกันด้วยหรอ?”จุงกิเอ่ยแทรกขึ้นแต่ก็เหมือนเป็นธาตุอากาศ สายตาของคนทั้งคู่จดจ้องกันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“นายมาทำอะไรที่นี่?”ยูฮวานเอ่ยถามเสียงสั่น
“ชั้นต่างหากที่ต้องถามนาย!”ชางมินดูหงุดหงิดไม่น้อยทั้งๆที่เค้าก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวแต่พอมาเจอยัยเด็กอวดดีตรงหน้าเข้าบรรยายกาศที่สวยงามคงไม่ช่วยให้ชางมินอารมณ์ดีขึ้นมาได้เลยในตอนนี้ ยัยเด็กนั่นกล้าหักหน้าเค้าที่ผับ...เรื่องวันนั้น
“เฮ้ย...พอเลยๆจะทะเลาะกันทำไม...เอ่อ...น้องยูฮวานใช่มั้ยครับ?”
“ใช่ครับ...ผมปาร์ค ยูฮวาน”กระแทกน้ำเสียงใส่หน้าชางมินอย่างไม่มีควงามเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“งั้นไปต่อแถวตรงนู่นเลยครับ”
“พวกไม่มีความรับผิดชอบ”
“นายว่าใคร?”
“ป่าว!...ชั้นก็แค่...ใครอยากรับก็รับไป”สีหน้านิ่งๆสะกิดต่อมโมโหของยุฮวานไม่น้อยกึนซอกเห็นท่าไม่ดีเลยต้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยอีกแรง
“พี่ว่าเราอย่ามัวทะเลาะกันอยู่เลยนะครับ...ชางมินนายก็เหมือนกันเป็นรุ่นพี่ภาษาอะไรมาชวนรุ่นน้องทะเลาะอยู่ได้”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”คนถูกเพื่อนว่าต่อหน้ารุ่นน้องกล่าวคาดโทษ ยังไงงานนี้เค้าก็เป็นต่ออยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าใครเป็นรุ่นพี่ใครเป็นรุ่นน้องน่ะ ยูฮวานลากกระเป๋าใบโตมายืนรวมกับพวกเพื่อนๆในกลุ่ม
“นายมันตัวถ่วง!”เสียงก่นด่าเบาๆของใครบางคนในกลุ่มเพื่อนทำให้ยูฮวานหันไปส่งค้อนวงโตให้กับแทมินผู้อวดดี
“แล้วมันหนักหัวใครไม่ทราบ!”ปากบางยู่ขึ้นมาอย่างขัดใจที่ถูกต่อว่าก่อนจะตอบโต้กับไปด้วยประโยคอันเจ็บแสบไม่แพ้กัน แทมินตั้งท่าเตรียมพร้อมจะสวนกับ แต่รุ่นพี่ข้างหน้าแถวดันพูดขัดขึ้นมาซะก่อนไม่อย่างนั้นคงได้มีสงครามน้ำลายขนาดย่อมกันอีกคู่เป็นที่แน่นอน
“เดี๋ยวเดินเรียงแถวมาจับฉลากกันตรงนี้เลยนะครับ”
รุ่นพี่เริ่มต้นอธิบายกฎกติกาของการรับน้อง โดยพวกรุ่นพี่แต่ล่ะคนจะเขียนคำใบ้ และส่งต่อให้พวกรุ่นน้อง รุ่นน้องทุกคนจะต้องหารุ่นพี่ในคำใบ้ที่ได้รับให้เจอ คำใบ้อยู่ในกระดาษแผ่นเล็กที่แจกให้น้องไปนะ นับจากวันที่กลับจากการรับน้องที่นี่ภายในระยะเวลาสามวัน ถ้ามีน้องคนไหนที่ยังหาตัวรุ่นพี่ในคำใบ้ของตัวเองไม่เจอ มันก็ไม่มีอะไรมากนะ แต่สำหรับนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดคงเกิดความไม่พอใจกันสักเท่าไหร่
‘ หักคะแนนสถานเดียว!!! ’
ดวงตากลมโตคู่สวยเหม่อมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย สายตาทอดมองนกน้อยน่ารักที่เกาะเรียงรายหยอกเย้ากิ่งไม้ ข้างหน้าต่าง เสียงใสเจื้อยแจ้วขับขานทำนองไพเราะ เขาเพียงแค่มอง มองไปเรื่อยๆ ถึงบรรยากาศโดยรอบตัวเขาจะให้ความรู้สึกที่สบายสักเพียงใด สายตาเลื่อนลอยคู่นั่น ก็ไม่ได้ใส่ใจต่อมันแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเสียงหวานใสของนกน้อยก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจของร่างที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงสักนิด ร่างบางยังคงปล่อยใจให้ลอยไปกับความคิดวุ่นวายในใจ
“เฮ้ออออ…..”
เสียงถอนหายใจหนัก หนัก ถูกปล่อยออกมาแทรกกับเสียงหวานใสของนก ดังยาวเป็นระยะ ไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันช่วยให้เขาสบายใจขึ้น หรือทุกข์ใจไปกว่าเดิม? ตอนนี้ แจจุงไม่รู้ อะไรสักอย่าง
เสียงนาฬิกาบอกเวลา13.00 น. ตากลมโตเพียงชำเลืองมองเท่านั้นแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง เลยเวลานัดแล้วก็แค่ไม่ไป เท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องไปกังวลอะไรนี่นา แต่ทำไมจิตใจเขามันว้าวุ่น ก็มันเลยเวลานัดมาแล้ว บอกตัวเองไปอย่างนั้น แต่ไอ้ความรู้สึกกระวนกระวายนี่มันคืออะไร มันยากเหลือเกินที่จะเปิดใจยอมรับกับ ความจริงที่เขาเก็บซ่อนปิดล็อคมันไว้อย่างแน่นหนาที่สุด
แรงปรารถนา ความร้อนแรงป่าเถื่อนของใครคนนั้น
คนเลวที่เขาไม่รู้จัก แต่ทำไมในส่วนลึก เขาถึง... เกิดความรู้สึกอะไรมากมาย
ยิ่งคิด อาการปวดหัวก็เหมือนจะกับมาทำร้ายเขาอีก ตาคู่สวยที่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แจจุงรีบปาดมันออกอย่างลวก ลวก อย่างนึกรังเกียจ น้ำตาก็เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความอ่อนแอ ของหญิงสาว นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
ครื่นนน.....
ครื่นนนนน.....
ครื่นนนนนนนนน...
แรงสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสารอันจิ๋วที่วางลืมไว้บนหัวเตียง ปลุกเขาให้สะดุ้งตื่นจากภวังค์ มือบางหยิบขึ้นมาดู อดที่จะแปลกใจกับเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย แต่ชั่วครู่ก็กดรับ ยังไม่ทันได้กรอกเสียงไปตามสาย
“ สวัสดีครับ ผมโทรมาจากรพ. นะครับ ไม่ทราบว่ากำลังถือสาย กับคุณคิม แจจุงหรือเปล่าครับ ”
“ อ่า... ครับ “
“ วันนี้ คุณแจจุงมีนัดกับคุณหมอเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งนะครับ ตอนนี้มันก็เลยเวลามาหลายชั่วโมงแล้ว คุณก็ยังไม่มา มีปัญหาขัดข้องอะไรหรือเปล่าครับ “
“ ไม่ฮะ ไม่มีอะไร ผมไม่ไป แล้วฮะ ต้องฝากขอโทษคุณหมอด้วยนะครับ ที่ปล่อยให้คอย ”
“ ผมขอทราบเหตุผล “ เสียงทุ้มเอ่ยถามเสียงดุ
“…………….”
“ตอบช้า แบบนี้ สงสัยว่าเหตุผลคุณแจจุงคงจะยาวมากสินะครับ”
ถึงจะรู้ดีว่าตนเป็นฝ่ายผิด แต่แค่เขาไม่ไปตามนัดก็ไม่เห็นต้องมาทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองทำอะไรที่มันผิดมากมาย น้ำเสียงของปลายสายและคำพูดช่างประชดประชัดดูขุ่นเคืองแจจุงไม่น้อย
“ ไม่มีหรอก...เหตุผล แค่ไม่อยากไป “
“หึ คุณไม่กล้ามาเพราะคุณกลัวความจริงใช่มั้ยครับ คุณแจจุงคุณรับไม่ได้ถ้าคุณจะถูกมองว่ามีปัญหาทางจิต คุณวิตกกังวลจนทำอะไรไม่ถูก หรือว่าคุณกลัวว่าการเดินเข้ามาพบหมอรักษาอาการทางจิตแล้วจะทำให้คนมองว่าคุณกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต ผมพูดถูกหรือเปล่าครับ ”
“……………….”
เงียบไปอีกครั้ง อย่างตอบไม่ถูก ที่พูดมามันตรงกับที่ใจแจจุงคิดทุกอย่างราวกับอ่านใจเขาทะลุปุโปร่ง เขาไม่กล้าไปรพ. ไม่กล้าเข้าไปหาหมอในแผนกจิตเวช กลัวคำพูดของคนอื่น
“คิดนาน และก็ตอบช้าอีกแล้วนะครับ” แจจุงเริ่มมีอารมณ์โมโหขึ้นมาบ้าง คนอื่นจะมารู้ถึงความลำบากใจของตัวเขาได้อย่างไร ความกดดันมากมายมันกำลังทำร้ายจนเข้าแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ขณะนี้ แจจุงกัดริมฝีปากสีสดเพื่อสะกดอารมณ์จนเรียวปากสีสดแดงก่ำ
“ คุณแจจุงครับ อย่าเงียบแบบนี้อีกเลย
ถ้ามันเป็นการยากมากที่จะมาที่รพ. เรานัดกันที่อื่นก็ได้นะครับ”
“ ดะ ดะ เดี๋ยวก่อนนะ เรานัดกันที่อื่นหมายความว่ายังไง คุณกับผม เอ่อ.. คุณคือ “
“ผมหมอยุนโฮ ชอง ยุนโฮ ครับ “ หมอหนุ่มตอบกลั้วเสียงหัวเราะ
“คุณคิดว่าผมเป็นคนบ้า คนโรคจิตใช่มั้ย คุณคงสมเพชผมมากสินะ”
แจจุงทั้งน้อยใจและสับสน น้ำเสียงที่ดูสบายใจติดอารมณ์ดีของคนปลายสาย ตลอดจนถึงพึ่งรู้ว่าบทสนทนาของทั้งคู่ คนที่เขาคุยด้วยคือคุณหมอ ความรู้สึกต่างๆก็ตีเข้ามาทั้งอายทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด จนไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์ว้าวุ่นในใจยังไง
“แล้วถ้าให้คุณหมอรักษาผมจะหายใช่มั้ย? มันจะหายแน่นอนใช่มั้ย? ไอ้โรคบ้านี่ภาพที่คอยทำร้ายมันจะไม่มีอีกแล้วใช่มั้ยฮะ? ผมจะหายใช่มั้ย...จะหายหรือเปล่า?” แจจุงรัวคำถามใส่ไม่หยุด
“ ใจเย็น นะคุณแจจุง คุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วนะ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ถ้าบาดแผลมันลึกมันก็คงต้องนานสักหน่อย ถ้าคุณปล่อยมันไว้อย่างนั้นเพราะคิดว่าทุกวันนี้ก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติดี นั่นไม่จริงเลยสักนิด คุณก็รู้ทุกครั้งที่อยู่คนเดียว หรือมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น มันอาจจะกลายเป็นเหมือนภาพถ่ายที่ฉายซ้ำเหตุการณ์บางอย่างที่อยากลืม คุณเจ็บปวด ทรมานและต้องการให้มันหายไปสักที ถ้าคุณคิดแบบนี้ คุณควรต้องให้ความร่วมมือด้วย”
“……….”
“ ผมต้องการรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณมีความทุกข์และอาการของคุณหลังจากที่เจอกับสิ่งเร้าบางอย่าง ว่าเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายหรือจิตใจ ผมต้องการรู้ว่ามันรุนแรงถึงขั้นไหน เพื่อค้นหาวิธีรักษาซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอาจจะยากที่จะพูด ให้ ‘คนอื่น’ อย่างผมฟังและคงเป็นการไปสะกิดบาดแผลในใจของคุณ แต่ผมก็ต้องทำ แค่เพียงคุณให้ความไว้ใจผม ช่วยเปิดโอกาสให้ผมได้เยียวยาสภาพจิตใจของคุณ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนบ้า คนโรคจิตอย่างที่คุณกล่าวโทษตัวเองสักหน่อย อย่าเครียดสิครับ ถ้าหากคุณสงสัยว่าผมเข้าใจคุณมั้ย ผมตอบได้ทันที ว่า...ไม่ ไม่...เลยสักนิดขนาดตัวผมเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย แต่คุณรู้อะไรมั้ย?ว่าอย่างน้อยที่สุด ที่คุณควรยอมรับการบำบัด คือ ผมจะฟังคุณทุกอย่างที่แจจุงพูดมา ผมสัญญา...มันจะสำคัญสำหรับผมเท่า...เท่ากับที่มันสำคัญสำหรับคุณ มันจะเป็นความลับระหว่างเราสิ่งที่คุณไม่สามารถพูดได้กับคนอื่น คุณสามารถพูดมันได้กับผมเรามาลองดูกันมั้ยครับ ว่ามันจะช่วยคุณให้ดีขึ้นได้ยังไง ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคุณนะ”
“..................”
“ แจจุง ”
“คะ...ครับ” แจจุงตอบรับเสียงสั่น ยังงง งง ว่าคุณหมอเรียกชื่อเขาทำไมกัน
“ต่อไปเรียกหมอว่า...พี่ยุน โฮได้มั้ยครับ”
“ครับ” ตอบรับไปด้วยความตกใจก่อนที่จะคิดขึ้นมาได้
“หมอว่าอะไรนะฮะ?”
“เรียกหมอ...ว่าพี่ยุนโฮนะครับ ”
“ทำไมผมต้องเรียกหมอว่าพี่ยุนโฮด้วย มันเกี่ยวอะไรกับการรักษาของผมเหรอครับ?”ถามไปด้วยความสงสัยหมอหนุ่มตามกลั้วเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
“ เราจะได้ดูสนิทกันขึ้นไงครับ แจจุง แล้วแจจุงเองก็จะได้ไม่อึดอัดใจเวลาคุยกับหมอ “ตอบมาแบบนี้ เขาเถียงไม่ออกเลยจริงๆ
“ลองเรียกดูสิครับ”
“เอ่อ...ก็ได้ครับ...พี่ยุนโฮ” แจจุงพูดตามอย่างเขิน เขิน
“อ่ะ...น่ารักมาก”
คนชมกล่าวออกมาอย่างสบายๆ แต่กับคนถูกชมนี่สิ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ยังดีที่ไม่ได้สนทนากันโดยซึ่งหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงจะวางสีหน้าไม่ถูกเป็นแน่ สองพี่น้องที่พึ่งจะรู้จักดูเหมือนว่าจะเริ่มพูดคุยกันถูกคอ เวลาล่วงเลยไปจนถึงเมื่อไหร่ไม่สนใจยังนั่งคุย นอนคุย เดินคุยกันอย่างออกรส
หลังจากวางสายไปแล้ว แจจุงยังคงนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ในกระดาษที่ตนได้จดไว้เมื่อครู่ เบอร์ของพี่ยุนโฮ ยุนโฮบอกเอาไว้ว่าให้โทรหาเมื่อพร้อมที่จะคุย คำพูดของยุนโฮยังวนเวียนอยู่ในหัว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย
จะเอายังไงดี เฮ้อ...
“อย่า มัวนั่งอมทุกข์อยู่คนเดียวในห้องสิครับ”
“ขังตัวเองไว้กับความทุกข์ในใจไม่ยอมปลดปล่อย แล้วยังมาขังร่างกายไว้ในห้องอีก ใจร้ายจริงนะ แจจุง”
“ออกมาเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้าง”
คำแนะนำของคนพึ่งวางสาย แวบเข้ามาในหัว แค่คิดถึงคำพูดเหล่านั้น จู่ จู่ใบหน้าแจจุงก็ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ทำไม แต่ลองดูก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร นั่งอยู่แต่ในห้องแบบนี้มันก็ไม่ต่างกับขังตัวเองไว้ในคุกอย่างที่พี่ยุนโฮว่า ร่างบางผุดลุกขึ้นบิดกายสะบัดความขี้เกียจออกไป แล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารกับกุญแจบ้าน ใส่กระเป๋าก่อนจะเดินออกจากห้อง
“ใบหน้างดงามราวกับเจ้าชาย???”แทมินอ่านคำใบ้ที่ตนได้รับพลางทำหน้าครุ่นคิดก็รุ่นพี่ทั้งสามคนออกจะหล่อ หน้าตาดี แถมยังมามาดเจ้าชายกันทุกคนเลย>//<...แต่ใบหน้าที่งดงามจะเป็นใครกันล่ะ???
“เป็ด!!!”ยูฮวานเอ่ยคำใบ้ของตนเองเบาๆนึกแปลกใจไม่น้อยแค่คำ 1 คำพยางค์เดียวแล้วใครมันจะไปตรัสรู้ได้กันล่ะว่ะเนี่ย!?!
“เอาล่ะครับเดี๋ยวพวกพี่จะพาน้องๆไปเก็บสัมภาระกันก่อนแล้วลงมาเจอกันที่น้ำตกตอนสี่โมงเย็นเป็นอันเข้าใจตามนี้นะครับ”จุนกิแจงตารางนัดหมาย จากนั้นเหล่านักศึกษาก็ต่างทยอยกันขนของขึ้นไปยังห้องพักของโรงแรมที่ได้จัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี
เมื่อเวลาที่นัดหมายเอาไว้มาถึงชางมินก็เริ่มแบ่งกลุ่มย่อยๆออกเป็นสองกลุ่มด้วยกันกลุ่มละ 6 คนยูฮวานได้อยู่กับจุงกิและกึนซอก ส่วนชางมินก็อยู่กับแทมิน เกมส์ในครั้งนี้คือแต่ละกลุ่มได้ซ่อนขุมทรัพย์ของตัวเองเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในป่าซึ่งถ้าใครแกะรอยและพบที่ซ่อนของก่อนก็ให้จุดพุลพร้อมกับรับคะแนนพิเศษจากพี่ๆและคะแนนพิเศษที่ว่าก็เป็นอะไรที่ล่อตาล่อใจรุ่นน้องเอามากๆ จุดหมายของทุกคนคือ หาให้เจอขุมทรัพย์ที่ว่า!
ทั้งสองกลุ่มไม่รอช้าต่างแยกย้ายกันออกเดินทางไปตามหา เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่าๆแต่ก็ยังไม่มีใครหาเจอเลย ยังไม่มีกลุ่มไหนจุดพลุบอกสัญญาณแห่งชัยชนะ ยูฮวานเริ่มหมดแรงทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ การมารับน้องในครั้งนี้มันก็ดูน่าสนใจอยู่หรอกถ้าไม่ติดตรงว่าต้องมาอยู่ในที่ที่มีศัตรูถึงสองคนมันดูจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและก็น่าหงุดหงิดซะมากกว่าในความคิดของยูฮวาน ณ ตอนนี้
“อยากกลับบ้านจัง...ทำไมนายถึงได้น่าสงสารแบบนี้นะยูฮวาน”เริ่มบ่นเบาๆอย่างคนหมดหวัง ขุมทรัพย์อะไรนั่นก็ยังหาไม่เจอเลย มือบางยกขึ้นปาดเหงิ่อบนใบหน้าขาวก่อนจะพาตัวเองลุกขึ้นพร้อมที่จะเดินทางต่อไปแต่ยูฮวานกลับไม่พบใครเลยไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วนอกจากตัวเค้าเพียงคนเดียว
“หายไปไหนกันเร็วจัง”หันซ้ายทีขวาทีคนตัวเล็กก็เริ่มใจเสียเพราะเวลานี้พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินเต็มทีอีกไม่นานท้องฟ้าที่เคยสว่างก็จะมืดลงมีเพียงแค่พระจันทร์สีเหลืองนวลและกลุ่มดาวที่ไม่ได้ช่วยให้แสงสว่างกับเค้าเลยโผล่ขึ้นมาแทนโชคดีที่ยูฮวานพกไฟฉายติดตัวมาด้วยถึงจะไม่สว่างมากแต่ก็พอให้เห็นได้เพียงรางๆ
“จะออกไปยังไงนะ...จะเจอกับรุ่นพี่ได้ยังไง”หยาดน้ำตาเม็ดโตเริ่มเริ่มเอ่อคลอก่อนจะหยดลงที่แก้มชมพูช้าๆเรียวปากบางกำลังจะตะโกนร้องเรียกเผื่อรุ่นพี่และกลุ่มของเขายังอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ แต่เสียงบางอย่างต้องทำให้ยูฮวานหุบปากลงฉับพลัน
~ แกร๊ง ~
เสียงการหักของกิ่งไม้แห้งทำให้คนขวัญอ่อนสะดุ้งสุดตัว ในป่าแบบนี้จะมีสัตว์ดุร้ายมั้ยนะเมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วก็พ่ตัวเองมาหลบยังหลังพุ่มไม้ใหญ่แต่ทว่าแผ่นหลังบางดันไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อ๊ากกกกกก”
“กรี๊ดดดดดดด”ยังไม่ทันได้หันไปมองต่างคนก็ต่างหวีดร้องด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
“ทะ...แทมิน!!!”
“ยูฮวาน!!!”ทั้งคู่ดูจะโล่งใจไม่น้อยที่พอหันไปเจอกันแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ตนนั้นได้จินตนาการเอาไว้
“นาย...ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดี่ยวหรือว่าหลงทาง?”แทมมินตั้งประเด็นเพราะถ้าเค้าไม่เอ่ยปากพูดยูฮวานก็คงจะไม่พูดเช่นกันมันเงียบ น่าอึดอัดเกินไปสู้หาเรื่องมันเถียงกันยังจะดีซะกว่า -*-
“..........”
“ว่าแล้วเชียวว่าคุณหนูอย่างนายมันไม่ได้เรื่อง!”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้กลับคนตัวเล็กกว่าเลยต้องพูดให้แรงขึ้น
“นายว่าใคร?”ได้ผลยูฮวานตอบกลับทันควัน
“ก็มีกันแค่สองคนคงเป็นเสือแถวๆนี้ล่ะมั้ง -3- ”
“แล้วนายล่ะ...นายก็คงไม่ต่างจากชั้น”
“ใครว่าชั้นมากับพะ...”พวกรุ่นพี่และกลุ่มของแทมินตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน สถานการณ์ตอนนี้คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากทั้งคู่จะถูกทิ้งอยู่กลางป่า...หลงทาง???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น