Title : [Fic] หมอ...llจิตll
Writer : GroupBee + KJW
Couple: YunJae , YooSu , MinRic
Genre : Drama , Erotic
NC : ?
Part…12 ความลับ(ของแจจุง?)ไม่มีในโลก
เช้าวันสุดท้ายของการรับน้องนั้นดูจะไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซึ่งไม่ว่าจะใครก็ตามคงไม่มีใครอยากให้เกิด ร่างบางที่นอนซมอยู่บนเตียงกว้างเพราะพิษไข้ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งเพราะอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ยูฮวานออกแรงบีบนวดตามลำคอและแขนขาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“ตื่นแล้วหรอ?”เสียงจากใครบางคนเอ่ยขึ้นยูฮวานไม่ได้ตอบคนตัวเล็กเพียงแค่หันไปมองที่ต้นเสียงช้าๆ
“นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”คนที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้รุมเร้าเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักเมื่อหันไปเจอกับชาง
มินคนที่เค้าเหม็นขี้หน้ามากที่สุด
“ทำไมชั้นจะเข้ามาไม่ได้...ก็นี่มันห้องของชั้น”
“ห้องของนาย?”
“ใช่”
“แล้วชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“นายก็ลองนึกเอาสิ...ทำให้คนอื่นเค้าวุ่นวายกันไปหมด”
“ชั้นไปก่อปัญหาอะไรไม่ทราบ?”คนที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงแต่กลับมีแรงต่อปากต่อคำ...ชางมินล่ะหมั่นไส้ยัยเด็กอวดดีนี่เสียจริงๆ
“ก็ถ้านายไม่หลงทางอะไรๆมันก็คงจะดีแล้วก็สนุกกว่านี้หลายเท่า”ชางมินตอบเสียงดุ
“แล้วชั้นตั้งใจหรอ?...ใครกันที่อยากให้ตัวเองหลงป่าอยู่คนเดียว!”
“นั่นสิเนอะ...ใครมันจะไปโง่เดินหลงป่าอย่างนาย”
ทำไมล่ะ...ก็แทมินไง...ยูฮวานคิด
“นี่...ก็ชั้นแค่หยุดพักพอหายเหยื่อทุกคนก็หายกันไปหมดแล้ว”
“งั้นก็ถือว่าโชคดีที่ชั้นมาเจอนายนอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้...ไม่ถูกเสือคาบไปกินซะก่อน”
“ชั้นคงต้องขอบใจนายสินะ”
“นั่นมันก็แล้วแต่...ถ้านายมีมารยาทพอชั้นอุตส่าห์แบกนายออกมาจากป่า...หนักเป็นบ้า!!!”
“แล้วใครใช้ให้แบก”
“คนอย่างนายมันไม่รู้จักบุญคุณคน”คำพูดของชางมินทำให้ยูฮวานเพียงแค่ยู่ริมฝีปากบางขึ้นอย่างขัดใจ นี่ถือว่าช่วยเค้าเอาไว้นะ ไม่อยากจะพูดอะไรมาก
“เอ่อ...ส่วนคนที่นายควรจะไปขอบคุณจริงๆน่ะ...คือเพื่อนของนายต่างหาก”
“ใคร...เพื่อน...นายหมายถึงใคร?”ยูฮวานถามถึงคนที่ชางมินเอ่ย ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นใครก็ตามแต่แทมินเนี่ยหรอ???
“ก็แทมินไง”
“ไม่จริง”บ่นเบาๆแต่ก็ดังพอที่ชางมินจะได้ยิน
“ทำไม?...นายคิดว่าเพื่อนนายจะใจร้ายทิ้งนายไว้แบบนั้นน่ะหรอ...ถ้าเป็นนายก็ว่าไปอย่าง”ยูฮวานไม่ได้เถียงอะไรกลับไปความรู้สึกในตอนนี้มันตีกันมั่วไปหมด ชางมินยังเล่าต่ออีกว่าแทมินเดินร้องไห้ออกมาจากป่าก่อนจะมาเจอเค้า พอพบกับรุ่นพี่แล้วคนตัวเล็กก็รีบนำทางให้เค้าไปชวนตัวยูฮวานออกมาและที่สำคัญแทมินนั่งเฝ้าไข้เค้าจนชางมินพึ่งไล่ให้ไปนอนเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี่เอง ยูฮวานก้มหน้าอย่างคนรู้สึกผิดหรืออีกนัยๆคือไม่อยากให้ใครมาเห็นสีหน้ายามที่เค้าอ่อนแอแบบนี้
“เป็นอะไรหรือป่าว?”ชางมินเอ่ยถามเมื่อคนตัวเล็กดูเงียบไป ศีรษะที่ติดจะยุ่งๆเพราะการตื่นนอนส่ายไปมาชางมินเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากมนเบาๆซึ่งยูฮวานก็ไม่ได้หลบหรือแหกปากร้องโวยวายคงเป็นเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวและคงกำลังรู้สึกเศร้าอยู่
“ไข้ลดแล้ว...งั้นก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวซะเราจะออกเดินทางกันแล้ว...เอ่อชั้นลืมบอกนายไปเรื่องนึงยูฮวาน”
“..............”
“ชั้นเป็นรุ่นพี่นายส่วนนายก็เป็นรุ่นน้องชั้นดังนั้นถ้านายยังไม่เข้าใจก็ควรจะเริ่มทำความเข้าใจซะใหม่นะว่านายควรจะเรียกชั้นว่ารุ่นพี่...ใช่...รุ่นพี่ชางมิน^^”บรรยากาศที่ดูจะเศร้าสร้อยเมื่อครู่เริ่มร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งจากการชักนำของชางมิน
“แล้วถ้าชั้นไม่เรียกล่ะ”สีหน้าเศร้าสร้อยหายไปแทบจะทันทีบัดนี้ใบหน้าของยูฮวานมีแต่ความอวดดีอยู่เต็มเปี่ยม
“หักนายครั้งล่ะสิบแต้ม...พอใจมั้ย...รึว่ามันยังน้อยไป...เปลี่ยนเป็นสิบห้าแต้มดีกว่า^^”
“เฮ้ย...นั่นมันไม่เห็นจะเกี่ยว”
“เกี่ยวสิ...เพราะนี่คือกฎและนายต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไข!!!...จะลองดีดูก็ได้นะไม่ว่ากัน”
“นะ...นา...”ยูฮวานเหมือนคนเป็นใบ้ตะคริวกินปากไปซะแล้ว ณ จุดนี้ ^^
“อ๊ะๆๆๆ...อย่าเชียวนะ...55+”เดินหัวเราะออกไปอย่างคนมีชัยชนะ ถึงคราวที่เค้าจะได้แก้เผ็ดยัยเด็กอวดดีนั่นบ้างแล้ว...ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครถือไพ่เหนือกว่า...ก็ชิม ชางมินไง^^
เช้าวันพุธกลางสัปดาห์คนตัวเล็กรีบมามหาลัยแต่เช้าอาจเป็นเพราะจุนซูทั้งคิดถึงและเป็นห่วงแจจุงถ้าได้เห็นหน้าเห็นตาเค้าคงสบายจะใจ โต๊ะม้าหินตัวเดิมของกลุ่มยังคงเดียวดายมีเพียงจุนซูที่นั่งรอแล้วรอเล่าแต่ก็ยังไม่มีวีแววของเพื่อนสนิทตนว่าจะมาเลยสักนิด ข้อมือขาวยกขึ้นดูหน้าปัดนาฬิกาเรือนหรูอย่างร้อนใจไม่รู้ว่าป่านนี้แจจุงกำลังเดินทางมาอยู่หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเพื่อนของตน ลองกดโทรศัพท์อีกสักครั้งถึงแม้ว่าว่าแจจุงอาจจะไม่รับอย่างที่เคยทำมาตลอดสองวันที่ผ่านมาแต่เขาก็ไม่อาจอยู่เฉย เสียงสัญญาณโทรศัพท์ยังคงดังอยู่พักใหญ่ๆก่อนที่ปลายสายจะกดรับ จุนซูไม่รอช้าที่จะกรอกเสียงหวานๆลงไปแต่ก็ต้องสะดุดกึกเมื่อคนที่รับนั้นไม่ใช่เสียงของแจจุง...แล้วมันเสียงของใคร?
“ฮัลโหล”เสียงทุ่มที่ไม่คุ้นเคยทำให้จุนซูกดตัดสายทิ้งไปอย่างรวดเร็วไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ นึกแปลกใจไม่น้อยเพราะเบอร์ที่โทรไปก็เป็นเบอร์ของแจจุงนี่นาแต่ทำไม??? ลองดูอีกครั้งแล้วกันสงสัยสัญญาณคงจะพันกัน (เหมือนเชือกอ่ะหรอจุน - -+ ) กดโทรออกอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ได้รอนานเหมือนครั้งที่ผ่านมาคนปลายสายก็กดรับ
“ฮัลโหล!”เสียงทุ่มเมื่อครู่นี้เอ่ยประโยคเดิมแต่น้ำเสียงฟังดูน่าขนลุกสำหรับคนฟังยิ่งนัก จุนซูก็เตรียมจะกดวางสายไปอีกครั้งเช่นกันแต่เหมือนชายหนุ่มจะรู้ทันเค้าซะก่อน
“อย่ากดวาง”ปลายสายออกคำสั่ง น่าแปลกที่จุนซูยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
“โทรมามีอะไร?”
“เอ่อ...คือ...นี่ใช่เบอร์ของแจจุงหรือป่าวครับ?”ถึงแม้ตนเองจะคิดว่าประโยคคำถามนั้นฟังดูไร้สาระเพราะทุกครั้งจุนซูก็กดเบอร์นี้แล้วก็เป็นแจจุงที่รับสายนี่นา กรอกเสียงลงไปหลังจากที่อ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน
“ใช่”เสียงนิรนามตอบกลับมาสั้นๆ เริ่มจะรำคาญคนต้นสายซะแล้วในตอนนี้
“’งั้นผมขอคุยกับแจจุงหน่อยครับ”
“ไม่ได้...เค้าอาบน้ำอยู่น่ะ...โทรมาแค่นี้ใช่มั้ย?”
“เอ่อ...เดี่ยวฮะอย่า...พึ่งวาง”
“.........”
“คุณเป็นใค...ร...?”ไม่ทันแล้วชายหนุ่มปริศนาคนนั้นกดตัดสายเค้าไปเป็นครั้งที่สองก่อนจะได้พูดจบ จุนซูไม่สบายใจเลยที่มีใครก็ไม่รู้มารับโทรศัพท์ของแจจุงแบบนี้ จุนซูมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ใช่พี่ฮีชอลแล้วก็ไม่ใช่พี่ซีวอนแน่นอน น้ำเสียงแบบนั้นฟังไม่คุ้นเลยสักนิด แถมยังเสียมารยาทกล้าตัดสายเค้าทิ้งไปแบบนั้นอีกพอลองโทรไปอีกรอบก็ปิดเครื่องหนีไปเฉยเลยหรือว่าคนคนนี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้แจจุงไม่รับโทรศัพท์เค้า...แล้วใครคนนั้นเป็นอะไรกับแจจุง?
“เฮ้ยย...ไอ้บ้านี่มันเป็นใครนะน่ากลัวชะมัดเลย...นายอยู่กับใคร...แจจุง”จุนซูตัดสินใจโดดเรียนในวันนี้เพื่อที่จะไปหาแจจุงทีบ้าน จิตใจตอนนี้ไม่เป็นสุขเอาซะเลยทั้งว้าวุ่นทั้งร้อนรนใจเป็นห่วงแจจุงที่สุดลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปแต่เสียงอาจารย์สาวแก่ๆคนนึงก็เรียกเค้าเอาไว้ซะก่อน
“จุนซู...คิมจุนซู!”
“ฮะ...เรียกผมหรอ?”
“แล้วชื่อนี้มันจะมีสักกี่คนกัน...เอาของไปเก็บให้อาจารย์หน่อยสิ”
“เอ่อ...คือ...คือ”
“จุนซูไม่ต้องพูดแล้วมารับไปเร็วอาจารย์จะไปเข้าห้องน้ำสงสัยท้องจะเสีย”พูดจบก็รีบยัดของใส่มือของจุนซูก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
ระหว่างทางที่ยุนโฮขับรถพาร่างบางมาส่งยังมหาลัยความเงียบและความน่าอึดอัดก็เข้าคลอบคลุมจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน มือหนาเอื้อมไปเปิดเพลงร็อคจังหวะมันส์ก่อนจะเร่งเสียงให้อยู่ในระดับที่ดังที่สุดพร้อมกับโยกศรีษะร้องเพลงไปตามท่วงทำนองที่ตนแสนจะชอบ โดยไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าตุ๊กตาหน้ารถนั้นจะมีอารมณ์ร่วมไปด้วยหรือไม่...ก็บอกแล้วไงว่าคนอย่างชอง ยุนโฮไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง! การกระทำของร่างสูงช่างขัดหูขัดตาแจจุง ยุนโฮดูกวนประสาทซะมากกว่า...คนบ้าอะไร!
“นี่...เบาๆหน่อยได้มั้ย...ชั้นหนวกหู”เสียงหวานตะโกนแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดอยู่ ยุนโฮยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไปโดยไม่คิดจะสนใจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน...ดูซิว่าเธอจะทำยังไง
“นี่...เบาเสียงหน่อยได้มั้ย?”แจจุงย้ำซึ่งท่าทีของชายหนุ่มก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อครู่ที่ผ่านมา
อยู่ๆแจจุงก็อยากเอาชนะขึ้นมาซะเฉยๆทั้งๆที่รู้ว่าถึงอยากจะเอาชนะเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเอาชนะคนใจร้ายตรงหน้าไปได้แต่ตอนนี้เค้าโมโห...มากกก กับท่าทีกวนบาทาเบื้องล่างความกลัวมันเลยหายไปหมดความอยากเอาชนะเข้ามาแทนที่เต็มเปี่ยม มือบางกดปิดเพลงก่อนจะหันไปค้อนให้สารถีหนุ่มไร้ซึ่งความเกรงกลัว ยุนโฮเพียงแค่เอื้อมไปกดปุ่มเปิดเพลงตามเดิมเท่านั้นแต่แจจุงก็กดปิดมันอีกครั้งแทบจะทันทีเมื่อเริ่มขัดใจยุนโฮก็ไม่ยอมแพ้เอื้อมมือไปเปิดมันอีกรอบสลับกันไปมาอยู่หลายครั้ง ร่างบางที่แข็งข้อกับเค้าขึ้นมาซะดื้อๆเอี้ยวตัวไปกดปุ่มปิดเพลงอีกครั้งแต่ยุนโฮกลับเบรครถกระทันหันทำให้คนที่ไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัยเสียหลักไปชนกับกระจกหน้ารถเข้าอย่างจัง แจจุงนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแต่ก็เก็บอาการเอาไว้ได้ทันไม่ได้เผลอหลุดร้องโวยวายอะไรออกไป
“หึ...สมน้ำหน้า”
“แก...ไอ้บ้า!!!...จะเบรครถทำไมไม่บอกกันบ้าง”
“ก็อยากแกล้งคน...แล้วจะบอกทำไม”
“กะ...แก”
“ทำไม!”
“...........”
“แล้วอย่ามาปิดเพลงของชั้นอีกถ้าไม่อยากถูกจับปล้ำตรงนี้...หรือถ้านายอยากมากก็บอกกันตรงๆ...เมื่อคืนมันยังไม่สะใจนายหรอไง?”ยุนโฮส่งสายตาโลมเลียไปให้จนแจจุงต้องหลบตาหนีไม่อยากเห็นสายตาแบบนี้เลย
“.........”กัดริมฝีปากตัวเองจนบวมเจ่อยกมือขึ้นกอดอกอย่างทำอะไรไม่ได้อีกเมื่อฟังคำขู่ เพราะถ้าเขายังขืนดื้ออยู่แบบนี้ล่ะก็คงได้ถูกจับปล้ำอยู่กลางถนนแน่ๆเพราะคนใจร้ายคนนี้พูดจริงทำจริงเสมอแจจุงรู้ดี
“ดีมาก...ถ้านายเชื่อฟังชั้นตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้หรอก...ที่รัก”ดวงตากลมสวยเพียงชายตามองแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านี้
เมื่อมาถึงยังหน้ามหาลัยออดี้สีดำสนิทคันงามก็ค่อยๆชะลอความเร็วลงแจจุงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกอยากจะเปิดประตูรถออกไป ไปให้พ้นจากตรงนี้ถ้าไม่ติดตรงที่ว่ายุนโฮกดล็อคอัตโนมัติเอาไว้
“เปิดสิ”เสียงหวานออกคำสั่ง
“ยังไม่ได้จูบลากันเลย”
“จูบลาอะไรของนาย?”
“.........”
“ชั้นไม่มีทางเอาปากของชั้นไป...จู...บ...อุ๊บ...อื้อออ”ยุนโฮไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำอีกต่อไปมือหนาโน้มต้นคอคนขี้โวยวายให้เข้ามารับรสจูบที่หนักหน่วงนี้ ริมฝีปากที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อถูกโขมยจูบเผยออ้างออกเปิดโอกาสให้ลิ้นร้อนเข้าไปทักทายได้อย่างหน่ำใจเมื่อฉกฉวยจนพอใจแล้วก็ถอนจูบออกมา เรียวลิ้นเล่นไล่เลียยังริมฝีปากแดงอิ่มช้าๆ ดวงตาที่อยู่ใกล้ใบหน้าสวยยังคงจ้องมองเขาตาไม่กระพริบ
“ลงไปได้แล้ว...ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้ชั้นอาจจะอดใจไม่ไหวก็ได้นะ...รีบไปสิ”ยุนโฮเอ่ยปากไล่ แจจุงจึงรีบเปิดประตูรถออกมาคนตัวเล็กหันมาพูดอะไรสักอย่างแบบไม่มีเสียงก่อนจะกระแทกประตูปิดอย่างแรงเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
“ไอ้โรคจิตหรอ?...ใช่...ก็เพราะนายนั่นแหล่ะคิมแจจุง...หึ”
หลังจากที่ขึ้นไปเก็บของให้อาจารย์ด้วยการเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 15 เรียบร้อยแล้วจุนซูก็ถึงกับหมดแรงกันเลยทีเดียวโชคร้ายที่ลิฟท์ดันมาเสียจุนซูเลยไม่มีทางเลือก
“ห้องพักครูทำไมอยู่ไกลจังTT” เมื่อหยุดพัก ผ่อนลมหายใจได้สักพักจุนซูก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเค้านั้นต้องไปหาแจจุง คนตัวเล็กรีบเดินสาวเท้าเร็วๆตรงดิ่งไปยังประตูทางออกแต่ด้วยอะไรบางอย่างก็ทำให้เค้าถึงกับก้าวขาไม่ออก สองขาเหมือนถูกอะไรตอกเอาไว้ให้ตั้งอยู่กับที่กระดิกไปไหนไม่ได้เลย
“นั่นเค้ากำลังทำอะไรกันน่ะ?”จุนซูพึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน หัวกลมหันรีหันขวางอย่างระแวง ว่ามีใครอยู่บริเวณนี้บ้าง อย่างกับตัวเองกำลังแอบทำอะไรไม่ดีแล้วกลัวคนจับได้ไม่มีผิด หลังไปแอบเห็นฉากสวีทของคู่รักที่กำลังจูบกันอยู่ในรถตรงหน้าเค้าพอดี
จุนซูรีบหลบมายืนอยู่ข้างหลังกำแพงใบหน้าขาวร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ตัวพยามยามปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะตัดสินใจทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินออกมา แต่ทว่าดวงตาแสนซนก็ยังคงอดที่จะไม่เหลือบไปมองด้วยความอยากรู้ เมื่อเหลือบมองไปหน่อยเดียวแล้วก็ยังอยากมองต่อไปอีกสักหน่อย จนในที่สุดร่างเล็กก็ไปยืนจดจ้องอยู่แทบจะชิดกระจกใสแจ๋วของรถหรูตรงหน้า ดวงตารีเบิกโตเป็นไข่ห่านเมื่อชายหนุ่มฝั่งคนขับถอนจูบออกมาอย่างเชื่องช้า คนตั้งใจมองสะดุ้งสุดตัวเกือบหันหน้าหนีกลัวจะถูกคนในรถด่า แต่เสี้ยวหน้าสวยที่เห็นเพียงแวบเดียวทำให้จุนซูชาวาบไปทั้งตัว ขาทั้งสองข้างพร้อมใจกันถอยหลังไปเรื่อยอย่างไม่รู้สึกตัวจนแผ่นหลังกระทบกำแพงซีแมนต์ นั่นมันเพื่อนรักของเขา “แจจุง”
“จะ...แจจุง”เสียงหวานแหบพร่าจุนซูรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น ในสมองมีแต่คำถาม แล้วก็เริ่มย้อนไปถึงตอนนั้นที่มีใครมารับโทรศัพท์แทนแจจุง จะต้องเป็นคนคนเดียวกับผู้ชายคนนี้แน่ๆ แล้วท่าทางของแจจุงก็ดูอย่างกับไม่เต็มใจ มองปราดเดียวก็รู้ว่าแจจุงโดนผู้ชายคนนั้นบังคับ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
แจจุงกับผู้ชายคนนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน
จุนซูยังยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่เหงื่อแตกพลั่กด้วยความเครียด ทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนสักนิด จนได้ยินเสียงเรียกอะไรแว่วอยู่ข้างหลัง มันก็ได้ยินนะ แต่จิตใจที่ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ไม่ได้ใส่ใจแค่ปล่อยมันดังผ่านหูไปเรื่อย ตอนนี้เรื่องแจจุงกำลังรบกวนจิตใจโลมาน้อยอย่างหนัก
“ทำอะไรอยู่น่ะจุนซู?”อาจารย์หนุ่มถามเบาๆข้างหลัง ยูชอนยืนสังเกตท่าทีของจุนซูมาได้สักพักแล้ว
“นายเป็นพวกถ้ามองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“.............”ยูชอนเอ่ยอย่างอารมณ์ดีแต่จุนซูก็ทำอย่างกับว่ายูชอนไม่มีตัวตนคนตัวเล็กปิดปากเงียบไม่ได้ตอบอะไรออกไป เป็นจังหวะเดียวกับทีรถสีดำคันหรูขับผ่านไปใบหน้าหล่อร้ายนั้นจุนซูเห็นมันชัดเจนที่สุดและถึงแม้ว่าการจดจำใบหน้าของคนที่จุนซูพึ่งเคยพบเห็นนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากแต่ถ้าเป็นคนคนนี้ที่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับแจจุงไม่มากก็น้อยแต่ดูเหมือนจะเป็นอย่างแรกซะมากกว่า...จุนซูต้องมันจำให้ได้ขึ้นใจ
“ใครน่ะ...มองตาไม่กระพริบเชียวนะ^^”ดวงตาคมหยี่จนเป็นเส้นตรงดูน่ารักซะไม่มีแต่ตอนนี้จุนซูไม่มีอารมณ์มาคลั่งไคล้ในความหล่อของยูชอน หัวสมองของเขาว่างเปล่าและอื้ออึงไปหมดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้แต่เสียงของยูชอนจุนซูก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ยิน คนตัวเล็กเดินออกไปอย่างเหม่อลอยโดยไม่หันกลับมามองยูชอนเลยสักนิด
‘ต้องไปถามแจจุง’
“ดะ...เดี๋ยวจุนซู!...พูดแค่นี้ไม่น่าจะโกรธนี่นา”
สองวันผ่านไปหลังจากกลับจาการเข้าค่ายรับน้องที่เหมือนจะทำให้คนรักเที่ยวแบบยูฮวานจะขยาดไปอีกนาน คิดแล้วมันก็น่าหงุดหงิดที่เกือบจะเอาชีวิตกลับมาไม่รอดหากต้องหลงอยู่ในป่าแบบนั้น นี่ถือว่าดีเท่าไหร่แล้วที่เค้าไม่เอาเรื่อง ติดตรงที่ว่ายูฮวานไม่ใช่พวกชอบล้ำเลิกบุญคุณ - -+
“มาสายเหมือนเดิมนะเรา”รุ่นพี่ยุนโฮเอ่ยปากแซวก่อนจะหันมาอธิบายกับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ตรงหน้าต่อ ยุนโฮไม่ใช่คนที่เคร่งครัดอะไรมากกับเรื่องเวลาจึงไม่ได้เอ่ยว่าอะไรออกไป แต่ถ้าเป็นรุ่นพี่...คงไม่ยอมง่ายแบบนี้แน่ๆ
“เอาล่ะมีใครจะถามอะไรมั้ย?” คำพูดดูดี แต่ถ้าลองมีคำถามอะไรก็ไม่ตอบ จ้องแต่จะหักคะแนน ริคกี้นึกเคืองในใจ
“..............”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปพักเถอะ”ชายหนุ่มในชุดกราวด์เอ่ยก่อนจะหันมาเก็บของเข้าตู้กระจกอย่างเดิม
“ผมช่วยฮะ”
“ขอบใจ”
“พี่ยุนโฮฮะ...ช่วยอะไรริคหน่อยสิฮะ”ริคกี้เอียงคอถามอย่างอ้อนๆ
“อืมได้สิ...ถ้าไม่ใช่เรื่องตามหารุ่นพี่ของนายนอกนั้นพี่ช่วยได้หมดแหล่ะ^^”ยุนโฮเอ่ยอย่างรุ้ทัน
“โถ่พี่อ่ะ...รีบพูดดักคอผมคอผมก่อนเลยนะTT” ปากอิ่มเบะขึ้นอย่างขัดใจ โธ่... รู้ทันอ่า
“ฮ่าฮา...แน่นอนอยู่แล้วขืนชั้นบอกนายไปไอ้มิ.....ไอ้รุ่นพี่ของนายเอาชั้นตายแน่เลย - - ”
“ขนาดนั้นเลยหรอฮะ?”ยูฮวานตาโต
“อืม...นี่อย่ามาหลอกถามพี่อยู่เลย รีบไปหาคำใบ้แล้วคิดให้ออกเถอะถ้าไม่อยากแพ้”
“พี่ไม่สงสารผมหรอ?”ยูฮวานยังคงตื้อต่อไป พลางทำตาปริบๆ ยุนโฮมองอย่างขำๆ
“สงสารอ่ะก็สงสารอยู่หรอกนะ...แต่พี่สงสารตัวพี่เองมากกว่านายก็รู้ว่าไอ้....”
“ไอ้...คนไหนฮะพี่ อย่าค้างแบบนี้พูดออกมาเลยฮะ...พูดออกมาเลยว่ารุ่นพี่ผมเป็นใคร”ตอนนี้ยูฮวานอยากจะกลายร่างเป็นพ่อมดร่ายเวทมนต์ใส่รุ่นพี่ยุนโฮซะจริงๆจะได้คลายความลับออกมาสักที
“นายได้คำใบ้ว่าอะไรนะ”
“เป็ดฮะ”
“ห๊ะ!...สั้นๆเลย...ว่าแต่นายดูไม่ออกจรองๆหรอ?”ไอ้หน้าเป็ด ดูแปปเดียวก็รู้แล้ว555+
“ฮือๆ...ได้อยู่แค่เนี๊ยแล้วผมจะไปหารุ่นพี่คนนั้นได้ที่ไหนล่ะฮะTT”
“เอาน่า...รุ่นพี่มีอยู่ไม่กี่คนเอง”
“ก็นั่นแหล่ะ...แต่มันก็พรุ่งนี้แล้วนะพี่!”
“เอางี้...เดี๋ยวพี่จะไปเอาคำใบ้เพิ่มจากรุ่นพี่ของนายมาให้อีกแล้วกันนะ”
“ฮือๆ...ก็ยังดี...คัมซัมนะครับรุ่นพี่”คำรับปากนั้นเรียกรอยยิ้มน่ารักประดับใบหน้าใส ก็ยังดี ไม่เสียแรงที่ลงทุนอ้อน
เท้าเล็กเดินมาหยุดยังประตูห้องเรียนช้าๆ น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้จุนซูอยากจะเจอกับแจจุงใจจะขาด แต่พอจะมาเห็นแจจุงเข้าจริงๆ ดันเกิดความรู้สึกประหม่า ไม่รู้จะพูดดีมั้ย? แล้วถ้าพูดจะเริ่มจากตรงไหน เอายังไงดีล่ะคิดสิคิด จุนซูเดินวนไปวนมาสองเท้ากลับก้าวไม่ออกไปซะเฉยๆ ความกล้ามากมายในตอนแรกมันหายไปไหนหมด ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้จะเปล่งเสียงทักทายตามปกติด้วยซ้ำ แถมเกิดความรู้สึกอยากหลบหน้าแจจุงซะอย่างนั้น ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ มันอึดอัดอยากจะรู้แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถาม นึกสังหรณ์ใจไม่ดีว่าต้องเกิดเรื่องราวเลวร้ายอะไรกับแจจุงแล้วแจจุงก็ต้องปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับเค้าแน่ๆ
“เอาไงดี”พึมพำกับตัวเองแต่ช้าไปแล้วก่อนจะได้ตัดสินใจอะไรคนในห้องก็เปิดประตูออกมาซะก่อนแล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“จุนซูพี่งมาเหรอ...ชั้นรอนายตั้งนานนึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”จุนซูไม่ได้ตอบอะไรปฏิกิริยาของแจจุงยังคงดูเหมือนปกติแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น แจจุงในตอนนี้ดูร่าเริงผิดกับตอนที่อยู่ในรถกับผู้ชายคนนั้น จะถามดีมั้ยนะ
“ไปนั่งกันเถอะ...นี่ถ้านายยังไม่มาชั้นก็กะจะโดดแล้วนะเนี่ย^^”
“...........”
“จุนซูทำไมนายเงียบจัง”
“ป่าวสักหน่อย”
“ชั้นไม่เชื่อหรอก...นายมีอะไรปิดบังชั้นอยู่”
“นายต่างหาก!!!”จุนซูตะคอกเสียงแข็งจนแจจุงถึงกับผวาอย่างตกใจ เกิดอะไรขึ้นน่ะ จุนซูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“จะ...แจจุงชั้นต้องเป็นคนถามคำถามนี้กับนายมากกว่านะ...นายหายไปไหนมาแจจุงชั้นโทรไปก็ไม่รับ มั้ยว่าชั้นเป็นห่วงนายแค่ไหนรู้มั้ย...รู้บ้างมั้ย”ระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาแต่สำหรับจุนซูมันยังไม่หมดแค่นี้ แต่เค้าก็อยากลองใจแจจุงด้วยว่าแจจุงจะแก้ตัวยังไง จะเล่าอะไรออกมามากแค่ไหน
“จุนซูฟังชั้นก่อนนะ...คือ...คือว่าแจจุงลืมเอาโทรศัพท์ไป”
“..........”
“พอดีคนที่ร้านขาด พี่ฮีชอลเลยให้แจจุงไปช่วยจัดร้านนายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่ซีวอนกำลังปรับปรุงร้านอยู่...แจจุงขอโทษนะไม่คิดว่าจะเป็นห่วงมากขนาดนี้...ขอโทษน้า” ถ้อยคำโกหกคำโตถูกส่งกลับมาให้เพื่อนรัก พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ขอโทษนะจุนซูชั้นยังไม่พร้อมที่จะบอกอะไรตอนนี้...ไม่พร้อมจริงๆ
“พี่ฮีชอลให้นายกลับไปที่นั่นด้วยหรอ?”จุนซูตั้งประเด็นต่อมา
“เอ่อ...อืม...ก็บอกแล้วไงว่าทุกอย่างมันกระทันหันจริงๆ”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนายจริงๆหรอ?”
“จริงสิ...ชั้นก็แค่ไปช่วยพี่ฮีชอลแล้วนี่นายหายน้อยใจชั้นหรือยังอ่าTT”
นายโกหกชั้นทำไมแจจุง!
“อืม”
“งั้นขอกอดหน่อยได้มั้ย^^”ไม่รอให้จุนซูอนุญาตแจจุงก็เพื่อนรักเข้าไปกอด ไม่รู้ว่าจุนซูจะสงสัยอะไรอีกมั้ย จะจับพิรุธอะไรได้อีกหรือเปล่าแต่แจจุงสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ยังไม่พร้อมที่จะพูดหรือตอบปัญหาไรอีกแล้ว เขาเหยื่อเต็มที เหนื่อยเหลือเกิน โชคดีที่จุนซูไม่ได้ถามอะไรต่อ คนเก็บความรู้สึกเก่งอย่างจุนซูนี่แหล่ะที่แจจุงกลัวมากที่สุด
จุนซูไม่ได้ถามอะไรต่อและก็ไม่คิดที่จะถามอะไรออกไปอีกแล้วในตอนนี้บางทีแจจุงอาจจะยังไม่พร้อมแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดีเผื่อมีอะไรที่หาท่างออกไม่เจอจุนซูก็เต็มใจที่จะให้คำปรึกษากับแจจุงเต็มที่ สิ่งที่จุนซูยังค้างคาอยู่ก็ติดตรงที่ว่าคนที่มารับโทรศัพท์ของแจจุงเมื่อเช้าคือใครกัน? เอาล่ะถ้านายยังไม่อยากบอกชั้นก็ไม่เป็นไร
แต่เดี๋ยวนะ!...นั่นมันอะไร รอยสีแดงเข้มที่หน้าอกของนาย ทำไมมันถึงได้แดงจนหน้ากลัวแบบนี้ล่ะ
“จุนซู...จุนซู”
“ฮื้มม”
“คิดอะไรอยู่...ปล่อยให้ชั้นเรียกอยู่ตั้งนาน”
“ชั้นไม่ได้ฟังน่ะ...วันนี้อาจารย์คงไม่เข้าแล้วมั้ง...ไปกินข้าวกันเถอะ”
ช่วงบ่ายของคาบเรียนทั้งแจจุงและจุนซูต่างก็จมดิ่มอยู่ในห้วงความคิดของตน จุนซูมองใบหน้าสวยหวานไม่แพ้ผู้หญิงของเพื่อนอย่างเหม่อลอย ในสมองจับเรื่องโน้นเรื่องนี้มาตีกันจนพันยุ่งเหยิงไปหมด การที่รู้เรื่องราวทีละนิดแล้วต้องเอาจุดเล็กๆมาเรียงเองนั้น มันชวนปวดหัวเสียจริง คำพูดของอาจารย์ได้แต่ดังผ่านหูไม่ได้ซึมซับเข้าไปถึงชั้นสมองด้วยซ้ำ สงสัยต้องมานั่งทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด ส่วนแจจุงก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ มือเรียวหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กออกมา แรงสั่นสะเทือนต่อเนื่องของมันทำเอาเขาถึงกับน้ำตารื้น นิ้วมือสวยขยับเกลี่ยน้ำตาที่ไหลคลอจวนเจียนจะหล่นออกมาเต็มที่ แสงกระพริบที่หน้าจอดับไปแล้วก่อนที่จะเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีข้อความเข้าจากเบอร์ที่โทรมาเมื่อสักครู่ แจจุงเลื่อนลงกดอ่านข้อความ
[ ไม่สบายหรือเปล่าครับทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่ยุนเลย?
กินยาแล้วก็พักผ่อนเยอะๆนะ พี่ยุนเป็นห่วง
พี่ยุนโฮเองครับ ^^ ]
แจจุงกดปุ่มปิดเครื่อง ก่อนพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
พี่ยุนฮะ แจจุงอยากคุยกับพี่เหลือเกิน…. แจจุงควรทำยังไงดีฮะ พี่ยุน ถ้าเป็นพี่จะช่วยแจจุงได้มั้ย???
เมื่อการเรียนของวันนี้สิ้นสุดลงแจจุงก็ขอปลีกตัวกลับบอกโดยบอกกับจุนซูว่าจะรีบกลับไปทำอาหารให้พี่ฮีชอลกินเพราะวันนี้พี่ฮีชอลจะกลับบ้านหลังจากที่ยุ่งๆอยู่กับงานมาเป็นอาทิตย์ ความจริงแล้วแจจุงรู้สึกเหนื่อยใจมากกว่าที่ต้องมาปิดบังเรื่องน่าอายเช่นนี้กับเพื่อนสนิทที่สุดอย่างจุนซู เขารู้สึกผิดทุกครั้งเวลาที่มองเห็นถึงแววตาใสคู่นั้นของเพื่อนรักที่ราวกับรู้ทันแกมเป็นห่วงเป็นใยอย่างปิดไม่อยู่ ใบหน้าที่ดูผิดหวังนิดๆยามที่เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร” ทำเอาแจจุงพูดไม่ออก เหมือนกับมีก้อนเนื้อแข็งๆจุกอยู่ที่คอ แต่ถ้าเขาพูดออกไปจุนซูก็ต้องมากังวลเรื่องเขาอีก ไม่ดีเลยจริงๆ สู้เขาเก็บมันไว้ทุกข์ใจคนเดียวดีกว่า แจจุงคิดอย่างแน่วแน่ก่อนโบกมือลาเพื่อนรักที่ส่งยิ้มมาให้ตนอย่างเจื่อนๆ
จุนซู สักวันชั้นจะบอกนาย รอหน่อยนะ ตอนนี้ชั้นยังไม่พร้อมจะพูดถึงมัน
จุนซูนั่งลงยังโต๊ะม้าหินตัวเดิม ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับบ้านไปแล้วที่เหลืออยู่ก็ไม่มากนัก พื้นที่บริเวณนี้จึงดูเงียบเหงามีเพียงเสียงถอนหายใจของคนที่กำลังครุ่นคิด จุนซูพยายามเอาเหตุการณ์ทั้งหมดมาปะติดปะต่อกันทีละนิดทีละน้อย ซึ่งก็พอจะจับใจความได้ว่าแจจุงอาจจะโกหกเค้าอยู่ เรื่องที่ไปช่วยพี่ฮีชอลที่ร้านนั้นตัดทิ้งไปได้เลยเพราะจุนซูรู้ดีว่าพี่ฮีชอลไม่มีทางให้แจจุงกลับไปในสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำที่เลวร้ายแบบนั้นอีกเด็ดขาด...เรื่องนี้เค้ามั่นใจ แต่ถ้าแจจุงจะไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นมันยังน่าเชื่อกว่าอีกแล้วบางทีความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อาจจะ...เฮ้ยยย พยายามทำใจไม่ให้เชื่อแต่อะไรหลายๆอย่างมันก็ดูลงตัวจนน่ากลัว...น่ากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นแจจุงไม่เต็มใจก็คงจะโดนใครคนนั้นบังคับใครคนนั้นที่ว่ามันคือใครล่ะ
ถ้าไม่ใช่คนในอดีตคนนั้นคนที่ทำให้แจจุงต้องเป็นแบบนี้...ไอ้เลวนั่นน่ะหรอ ไม่จริงใช่มั้ย!
แต่จะมีใครกล้ามาทำแบบนี้กับแจจุงอีกหรอ?
ไม่บังเอิญไปหน่อยหรือไงกัน
โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
“ไม่ยุติธรรม!”สบถออกมาอย่างโกรธแค้น
ถ้าทุกอย่างที่จุนซูคิดมีส่วนถูกมากกว่าครึ่งล่ะก็...งั้นเค้าก็ไม่สามารถที่จะทำเป็นนิ่งเฉยหรือทำเหมือนกับว่าไม่รับรู้อะไรได้อีกต่อไปแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น