Title : [Fic] หมอ...llจิตll
Writer : GroupBee + KJW
Couple: YunJae , YooSu , MinRic
Genre : Drama , Erotic
NC : ?
Part…13 แผนการของชางมิน
นายแพทย์หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกับท่าทางที่ดูสงบนิ่งยามตั้งใจกับการทำงานที่ได้รับมอบหมายทำให้ชางมินดูน่าหลงใหลยิ่งนัก เรียวปากได้รูปเอ่ยคำแนะนำให้กันคนไข้ที่เข้ารับการรักษากับตนอย่างไม่มีอะไรติดขัด
“ทำตามคำแนะนำของหมอนะครับ...แล้วเดี๋ยวผมจะจัดยาไปให้...สวัสดีครับ”เมื่อคนไข้ออกจากห้องไปได้ไม่นานแขกผู้มาเยือนคนใหม่ก็เดินเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็นเพื่อนคนสนิทที่คบหากันมานานนม
“ว่าไงครับคุณชองวันนี้จะให้ชางมินคนนี้รักษาอะไรดี^^”
“ฮ่าฮา...อะไรของแกว่ะ”
“อ้าว...ก็เข้ามาหาชั้นทีไรแกต้องมีอะไรมาตลอดอ่ะไม่งั้นก็ไม่โผล่หัวมาให้เห็น”ชางมินพูดปนน้อยใจ
“เว่อร์ไปๆ...ไม่ขนาดนั้นหรอกแหมๆชั้นก็แค่จะเข้ามาเอาคำใบ้ไปให้ยูฮวานน่ะ”พอพูดถึงยูฮวานชางมินก็หูผึ่งขั้นมาทันที
“คำใบ้อะไรอีกว่ะ?”
“ก็ป่านนี้ริคกี้ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรุ่นพี่ของตัวเองเลยสักนิด...แต่ชั้นว่านะแค่คำว่าเป็ดคำเดียวชั้นก็เดาออกแล้ว55+”
“ทำไม...เป็ดแล้วไงว่ะ...ยัยเด็กหัวรั้นมาอ้อนวอนนายล่ะสิ”
“อืม...เห็นเด็กน่ารักๆแล้วมันใจอ่อนหว่ะใครจะไปโหดเหมือนแกว่ะ”
“เด็กนั่นอ้อนเป็นด้วยหรอว่ะ...เห็นดีแต่ต่อปากต่อคำ”
“รีบๆเขียนมาสิ”ยุนโฮสั่งแกมบังคับ
“ก็เดี๋ยวสิขอชั้นคิดอะไรก่อน”ผ่านไปสิบนาทีกับการนั่งคิดคำใบ้เพียงแค่หนึ่งประโยคซึ่งยุนโฮก็ไม่เข้าใจว่ากับอีกแค่หยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนอะไรลงไปแค่เนี๊ยมันจะไปยากตรงไหน ไม่รู้จะคิดอะไรนักหนา คิ้วเรียวเข้มขมวดแทบจะจับมาผูกกันได้อยู่แล้ว ชางมินยังคงใช้ความคิดต่อไปเรื่อยๆเมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ค่อยๆบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อนผิดกับคนที่ยืนรออยู่นานจนชักจะอารมณ์เสียขึ้นมาบ้างแล้ว ยุนโฮไม่ชอบการรอคอยอะไรนานๆ
แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่เค้าอดทนรอมาตลอด...แล้วการรอคอยที่ว่ามันก็สิ้นสุดลงแล้ว
เรื่องของแจจุง
“เสร็จยังว่ะไอ้มิน”คนถามเริ่มหน้าตายู่ยี้
“ใจเย็นดิว่ะ...เอานี่...ชั้นจะไม่ให้อีกแล้วนะคนอื่นเค้าก็ได้กันแค่ประโยคเดียวยังไม่เห็นจะเดือดร้อนตรงไหน”
“เอาน่าอย่าพูดมากจะได้มั้ย...ไหน...แกเขียนว่าอะไร”ยุนโฮหยิบโพสอิทสีสวยขึ้นมาอ่าน
“นิทราสวัสดิ์”
“เป็นไงนี่ชั้นใช้สมองอันชาญฉลาดคั้นออกมาเลยนะเนี่ย”ชางมินพูดอย่างภูมิใจ
“ชั้นไม่เห็นจะเข้าใจเลย...แล้วอย่างนี้ยูฮวานจะทายถูกมั้ยเนี่ย”
“ไม่รู้...ชั้นไม่สน”
“เป็ดกับนิทราสวัสดิ์...มันคนละเรื่องกันเลย”บ่นพึมพำก่อนจะเดินออกไป
“เฮ้ย...เดี๋ยวไอ้ยุนเกือบลืมไปเลยวันนั้นที่ชั้นไปรับน้องมีใครเอาแฟ้มชั้นไปไหนบ้างหรอเปล่า?”
“ทำไมหรอ?”
“ก็พอดีแฟ้มที่ชั้นดูแลอยู่มันตกหล่นไปอันนึง...ไม่รู้ว่าพยาบาลเอามาคืนให้ครบหรือเปล่า”
“เอ่อ...ชั้นลืมไปพอดีว่าวันนั้นชั้นเอาไปอ่าน...อยู่บนโต๊ะชั้นน่ะ”
“งั้นก็เอามาคืนชั้นด่วนเลย”
“เคสนี้ชั้นว่าน่าสนใจมากเลย...ชั้นขอเอาไปศึกษาเองก็แล้วกันนะ”
“นั่นไงกะไว้แล้วเชียวว่าต้องมีใครมาเอาไปที่แท้ก็แกนี่เองให้ชั้นหาอยู่ได้ตั้งนาน...ว่าแต่มันน่าสงสัยอยู่นะเนี่ย”ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องยุนโฮอย่าคาดคั่น
“ก็มันลืมอ่ะ...นายสงสัยอะไร?”ยุนโฮถามเสียงแข็งก็แค่เคสที่ได้รักษาแทนชางมินวันนั้นมันน่าสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะตัวคนไข้
“ก็ลองคิดดูนะงานแกก็ออกจะเยอะแยะไปแต่ดันใจดีมาช่วยรับคนไข้ไปรักษาแทนชั้นตั้งหนึ่งคนแหนะทำไมไม่เอาไปอีกเยอะๆเลยล่ะแต่ละเคสก็น่าสนใจทั้งนั้นอ่ะ...เอาไปสิหมดโต๊ะนั่นเลย”คนรู้ทันชี้นิ้วไปที่โต๊ะทำงานที่มีแฟ้มผู้ป่วยอยู่อีกสิบแฟ้มงานเห็นจะได้
“อะไรอ่ะ...นี่แกจะกวนประสาทชั้นใช่มั้ยไม่ต้องมาโยนกันเลยนะ...ไม่คุยด้วยแล้ว...ชั้นไปดีกว่า”เฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปตามภาษาทิ้งพิรุธไว้ให้ชิมชางมินได้คาใจเล่น แต่มีหรอคนฉลาดอย่างเขาจะรู้ไม่ทันน่ะ มันต้องมีอะไรดีๆสิไม่งั้นยุนโฮไม่ร้อนตัวขนาดนี้หรอก...อย่าให้รู้ก็แล้วกัน
โรงพยาบาลที่เป็นทั้งสถานที่รักษาคนไข้และมีไว้สำหรับให้เหล่านักศึกษาแพทย์ได้มาเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆกันที่นี่เพื่อนำไปปรับใช้กับภาระและหน้าที่ที่ตนจะต้องได้รับต่อไป ขนนกบางเบาที่ปลิวไปตามธาตุอากาศนั้นมือบางจับมันเอาไว้ได้ทัน รอยยิ้มใสประดับยังใบหน้าละมุม สวนสาธารณะหลังโรงพยาบาลที่เป็นสถานที่พักผ่อนคลายเครียดและเหมาสำหรับคนที่ต้องการใช้ความคิดยิ่งนัก
“จากไปตลอดกาล...ชั่วนิจนิรันดร์”ก้มลงมองกระดาษข้อความครั้งที่ร้อยแล้วเห็นจะได้แต่แทมินก็ยังไม่เข้าใจในความหมายนี้สักที รุ่นพี่ชางมินเป็นคนเอามาให้เขาที่คลาสเรียนเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ถึงแม้จะดีใจที่ได้คำใบ้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำแต่พอได้มาแล้วแทมินกลับยิ่งงงเข้าไปใหญ่เพราะเมื่อเอามารวมกับคำใบ้เก่า ความหมายที่ได้ก็มีอะไรเพิ่มขึ้นมาเลยสักนิดแถมยิ่งทำให้เค้าสับสนมากกว่าเดิมซะอีก...จะบ้าตาย
“หรือว่าพี่ชางมินจะเป็น...”
ห้องดับจิตที่เงียบสงบไร้เสียงจังหวะการหายใจเข้าออก บรรยากาศที่เย็นยะเยือกราวกับอยู่บนหิมะน้ำแข็งแต่ที่แห่งนี้กลับมีสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียว กำลังเดินสำรวจไปทั่วบริเวณเพื่อหาอะไรสักอย่างที่พอจะไข้ข้อข้องใจให้กับเขาได้ คำตอบที่จะสามารถเอาไปให้รุ่นพี่และที่สำคัญมันต้องเป็นคำตอบที่ถูกด้วยเพราะถ้าผิด เกมส์นี้เค้าอาจจะแพ้และบทลงโทษที่ตัวเค้าพยามยามจะเลี่ยงก็คงจะหนีไม่พ้น
ความกลัวคงไม่ใช่สิ่งที่ยูฮวานมีในตอนนี้นักศึกษาแพทย์ทุกคนต้องเคยมาที่แห่งนี้กันทั้งนั้นแต่ถ้าสามารถเลี่ยงได้ก็คงเลือกที่จะไม่มา พี่ยุนโฮเป็นคนเอาคำใบ้นี้มาให้กับเขา ตลอดทั้งช่วงสายที่ผ่านมายูฮวานลองเดินหาไปทั่วแล้วแต่มีอยู่ที่เดียวที่ยังไม่ได้เข้ามาก็คงจะเป็นที่แห่งนี้นี่แหล่ะ...ไม่รู้ว่าจะควรกลับไปขอบคุณหรือว่าจะกลับไปต่อว่ารุ่นพี่ยุนโฮกันดีนะ?
โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงมันอยู่ใกล้กันจนเกินความเป็นจริง แต่บางทีมันก็ไกลกันจนน่ากลัว
โลกของแบบที่มุนษย์ใฝ่ฝัน โลกที่เป็นนามธรรมแต่คนเราก็สัมผัสมันได้...ด้วยหัวใจ
“จุนซู”เสียงหวานของแจจุงเอ่ยเรียกคนที่นั่งใจลอย
“อะไรหรอ?”
“ขึ้นเรียนกันเถอะวิชาต่อไปวิชาโปรดนายไม่ใช่หรอ?”
“วิชาอะไรอ่ะ?”จุนซูถามเสียงเลื่อนลอยเหมือนคนไม่ได้สติ
“คิม จุนซู!”
“หื้ม”คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวเมื่อแจจุงตะโกนชื่อเขาเสียงดังลั่น
“นายไหวมั้ยเนี่ย?”
“อ่า...ขอโทษทีขอใหม่อีกรอบคราวนี้ชั้นจะตั้งใจฟังนายและ... - -+”
“ชั้นบอกว่าไปขึ้นเรียนกันเถอะ...วิชาต่อไปเศรษฐศาสตร์แล้วนะ!”
“จริงด้วยรีบไปกันเถอะ”บทจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าจุนซูก็เด้งตัวขึ้นมาเก็บข้างของก่อนจะลากแจจุงให้วิ่งตามตัวเองออกไป
เป็นอะไรของเค้า?
เมื่อมาถึงยังคลาสเรียนคุณครูหนุ่มก็มารออยู่ก่อนแล้วดวงตาคมเหลือบมองผู้มาใหม่พร้อมรอยยิ้มทักทายที่ส่งไปให้กับนักศึกษาคิมจุนซูโดยเฉพาะ แต่เมื่อคนตัวเล็กได้เห็นกลับก้มหน้าหลบสายตาไปซะเฉยๆปล่อยให้ยูชอนยืนยิ้มเก้ออยู่คนเดียว เมื่อนักศึกษาเริ่มทยอยกันมาเยอะแล้วอาจารย์หนุ่มก็คงจะไม่เสียเวลารออีกต่อไปการเรียนจึงได้เริมต้นขึ้น สาระและเนื้อหาที่ใช้ในการบรรยายไม่ได้เข้าหูคนที่เคยตั้งใจเรียนอย่างแจจุงและจุนซูเลยสักนิด ต่างคนก็ต่างมีเรื่องให้ต้องขบคิดและก็ไม่แปลกที่ทั้งคู่จะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของกันและกัน
“จุนซู...นักศึกษาคิมจุนซู”
“เอ่อ...คะ...ครับ”
“ออกมาทำข้อนี้ให้ครูที”ยูชอนเรียกให้จุนซูออกมาแก้โจทย์ในบทเรียน
ไวท์บอร์ดสีเข้มค่อยๆขีดเขียนลงไปบนกระดานช้าๆแล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อจุนซูไม่สามารถแก้ไขโจทย์ที่ว่านี้ได้ ยูชอนก็พอจะรู้ครูหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยเสียงที่เบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“นายทำไม่ได้หรอ?”
“ฮะ”ตอบกลับมาเพียงสั้นๆอย่างคนยอมรับความจริง
ที่ยูชอนเรียกจุนซูออกมาแบบนี้อย่างแรกก็คงอยากจะทดสอบด้วยว่าบทเรียนที่ได้สอนไปคนตัวเล็กนี้เข้าใจในสิ่งที่ได้สอนไปมาน้อยแค่ไหน
“นายไม่ได้กลับไปทบทวนหรอ?”
“เอ่อ...จุนซู...คือ...”
“ช่างเถอะ...แล้วนี่นายเป็นอะไรจุนซู”อย่างที่สองคือเค้าต้องการอยากจะถามไถ่เพราะพักนี้จุนซูดูแปลกไปไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน แถมยังทำเหมือนจะคอยหลบหน้าหลบตาเค้าอยู่ตลอดเวลา
“..............”
“เลิกเรียนแล้วมาเจอชั้นที่ห้องพักครูด้วย...กลับไปนั่งที่เถอะ...เอาล่ะครับโจทย์ข้อนี้มันคงจะยากเกินไปเดี๋ยวครูจะเฉลยเองก็แล้วกันนะ”ยูชอนหันกลับมายังกระดานก่อนจะขีดเขียนตัวหนังสือลงไป เพียงเท่านี้ก็พอจะเดาออกได้แล้วว่าจุนซูที่เคยร่าเริงสดใสกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ
“อะไรนะ!!!”มือหนาตบโต๊ะเสียงดังลั่นเมื่อได้ฟังถึงแผนการที่ชางมินได้วางไว้
“จะโวยวายทำไมว่ะไอ้ยุน...ที่นี่มันโรงพยาบาลนะโว้ยรักษาภาพพจน์นิดนุง^^”
คุณหมอชิมเอ่ยย้อน...รอโอกาสนี้มานานและ55+
“แล้วแกจะให้ชั้นใจเย็นหรอไงว่ะ? แกก็รู้ว่าเด็กสองคนนั้นไม่ถูกกัน”
“นั่นแหล่ะประเด็น...ชั้นก็แค่อยากให้สองคนนั้นได้ปรับความเข้าใจกันน่ะ”ชางมินอธิบาย
“แล้วทำไมจะต้องไปปรับความเข้าใจกันในห้องดับจิตด้วยว่ะ”
“ก็พอดีคิดไรไม่ออก...ไม่มีเหตุผลหว่ะเพื่อน” เอา...เอากับมันสิไอ้น่าเป็ดตอบแบบนี้เดี๋ยวได้มีอุ้งตีนหมีลอยไปตะปบหน้าหรอก - -+
“แล้วถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกให้อยู่นั้นแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเอง...กึนซอกมันดูและอยู่อย่าห่วงเลย”
“เหอะ!”
“ชั้นว่าป่านนี้คงกำลังนั่งปรับทุกข์ทำความเข้าใจกันอยู่นั่นแหละ”
.
.
.
.
“อ๊ากกกกกกกก”
ห้องดับจิตที่เคยเงียบสงบเมื่อครู่กลับดังสนั่นไปด้วยเสียงหวัดร้องของคนขวัญอ่อนเหตุเพราะการพบเจอกับใครอีกคนโดยบังเอิญทั้งๆที่ยูฮวานก็มั่นใจว่าเค้าเข้ามาคนเดียว...ตอนนี้ที่คิดได้คงไม่พ้น...ผี TT
“ฮือๆ...ผมกลัวแล้วครับอย่าทำอะไรผมเลย” ยูฮวานยกมือพนมท่วมหัว ดวงตาแววใสหลับปี๋ด้วยความกลัว หมุนตัวไหว้ไปทั่วสารทิศด้วยความหวาดกลัวอดีตสิ่งมีชีวิต พอกับอีกหนึ่งชีวิตที่ตกใจกลัวไม่ต่างกันเพราะคิดว่ามีเพียงตัวเองคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตในห้องเก็บร่างไร้วิญญาณ มือไม้ยกขึ้นไหว้สะเปะสะปะอย่างหวาดผวา
“ฮือ...ผมก็เหมือนกันผมแค่มาตามหารุ่นพี่ไม่ได้ตั้งจะ....”
ไหนใครบอกว่านักศึกษาแพทย์ไม่กลัวผี สงสัยไม่จริงทั้งเพ
“แทมิน!”
“ยูฮวาน!”
ต่างฝ่ายต่างตะโกนเรียกชื่ออีกคนอย่างสุดเสียง ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ และก็อายอีกฝ่ายที่สุด ดวงตาที่หลับปี๋ค่อยๆลืมขึ้นภาพที่แสนน่ากลัวดั่งที่จินตนาการเอาไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ผีแต่กลับเป็นเพื่อนร่วมคลาสเรียนเท่านั้น
“นายเข้ามาทำอะไรในนี้ชั้นตกใจหมด!”ยูฮวานปรับน้ำเสียงให้อยู่ในโทนปกติหลังจากที่แหบปากร้องโวยวายออกไป พร้อมทั้งสลัดไล่ความกลัวเมื่อครู่ทิ้งไปให้หมด
“แล้วทำไมชั้นจะเข้ามาไม่ได้”ใบหน้าที่ซีดเผือกของแทมินเริ่มกลับมามีสีสันดังเดิมเชิดขึ้นอย่างท้าทายคนตรงหน้า
“...........”ยูฮวานรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะเหนื่อยไปกว่าการต่อปากต่อคำกับคนคนนี้อีกแล้ว...เฮ้ยยยย
เอ่อ...ลืมมีชางมินอีกคน -*-
“ชั้นมาตามหารุ่นพี่ต่างหาก”
“ชั้นก็เหมือนกัน”
“ตามคำใบ้นี้”ประโยคหลังนี้ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน
“นี่รุ่นพี่แกล้งกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย...ไร้สาระที่สุด”ยูฮวานเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
“นั่นดิ...นายเจออะไรบ้างมั้ย?”
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ชั้นมาก่อนนายตั้งนายแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครมาที่นี่ ที่เห็นๆอยู่ก็นี่ไง...ศพ”
“อ่า...สงสัยจะถูกรุ่นพี่หลอกเข้าให้แล้วชั้นว่าชั้นไปดีกว่าถ้าเดี๋ยวจะไปไม่ทันนัด”แทมินยกมือขึ้นบิดกลอนประตูสีเงินแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่มันก็เปิดไม่ออกสักที
“ทำไมไม่ออกไปสักทีล่ะ”คำพูดของยูฮวานในตอนนี้ไม่ได้เข้าหูแทมินเลยสักนิดคนตัวเล็กยังคงออกแรงกระชากบานประตูให้เปิดออกแต่ก็ไร้ผลจนยูฮวานเริ่มจะผิดสังเกต
“เปิดไม่ได้หรอ?”เมื่อลองเปิดดูก็รู้มันมีเลยว่าอาจจะมีใครมาล็อคกลอนจากข้างนอกเอาไว้แล้วก็คงไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาอยู่ในนี้
“อะไรกันเนี่ย...ชั้นไม่อยากอยู่ในนี้ไปถึงเช้าหรอกนะTT”
“ทำอย่างกับชั้นอยากอยู่กับนายมากอย่างนั้นแหละ” ยูฮวานเบะปากอย่างด้วยความเซ็ง
“พูดแบบนี้จะชวนทะเลาะหรือไงริคกี้!”แทมินตวาดสุดเสียง พอเห็นท่าทางกวนประสาทของอดีตเพื่อนรักแล้วมันหงุดหงิดอยู่กันแค่สองคนยังจะมากวนกันอีก
“เฮ้ย...ทำไมมันถึงได้ซวยอย่างนี้นะครั้งที่แล้วก็ทีนึงและที่ต้องมาอยู่กับนายแบบนี้อ่ะ...น่าเบื่อ” ยูฮวานยังไม่หยุดพูดจา
ยียวน
“อยู่กับชั้นมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง?” แทมินเอ่ยถามเสียงแข็งหากแต่ว่าหางเสียงของเขามันอดที่จะตัดพ้อด้วยความน้อยใจไม่ได้ เล่นเอาคนเล่นแง่ทำอะไรแทบไม่ถูก แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่ทำให้หลุดพูดจาใจร้ายไม่หยุดหย่อน ปากหนอปาก
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง...ชางมินบอกว่านายเป็นคนช่วยชั้นตอนที่หลงป่าถึงกับขนาดเดินร้องไห้ไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่กะจะเอาหน้าเต็มที่เลย...ว่างั้น?” ทั้งที่ใจก็อยากขอบคุณแต่ทำไมถึงได้พูดอย่างนั้นล่ะริคเอ๋ย
“ชั้นก็แค่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่างหากแล้วไอ้ที่เดินร้องไห้งอแงเหมือนเด็กน่ะไม่เป็นความจริงเลยสักนิด”ไอ้รุ่นพี่ชางมินอุตส่าห์กำชับไว้แล้วนะยังปากโป้งเล่าออกไปจนหมด...เสียฟอร์มหมด TT
“ขอบคุณนะ”เสียงเบาของยูฮวานที่พูดพึมพำกับตัวเองคงไม่ได้ยินไปถึงแทมินแน่ๆเพราะระยะห่างจากคนทั้งคู่ก็ไกลกันพอสมควร ยูฮวานไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณคนแต่จะให้มาเอ่ยคำขอบคุณออกไปตรงๆมันทำให้คนขี้อายอย่างเค้าไม่กล้าพูด ถ้าวันนั้นไม่ได้แทมินกับชางมินเค้าก็คงจะแย่
แทมินเดินมานั่งพิงประตูอย่างเซ็งๆทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรออกไปอีกได้แต่รอเวลาให้ใครสักคนมาเปิดประตูแล้วก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้ากว่าจะได้ออกไปแต่ที่น่าผิดหวังที่สุดก็คือวันนี้เป็นวันที่รุ่นพี่นัดเอาคำตอบจากรุ่นน้องถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเป็นใครเป็นรุ่นพี่ของตนก็เถอะแต่ถ้าได้ออกไปมันก็ยังจะดีกว่าเพราะถ้าเค้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ก็แปลว่าบทลงโทษที่วางไว้รอเค้าอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ถ้าออกไปได้ยูฮวานก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี...ดังนั้นผลที่ได้คือค่าเท่ากัน ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ทั้งคู่สั่นเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้อบอุ่นขึ้นมาได้เลย
“เขยิบเข้ามาใกล้ๆชั้นสิแทม”ยูฮวานพูดเชิงออกคำสั่ง
“ทำไมล่ะ?”
“นายอยากจะหนาวตายหรือไงตรงนั้นแอร์มันลงนะ!”แทมินเงยหน้าขึ้นมองทิศทางของช่องแอร์นึกโทษตัวเองที่ทนนั่งอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ค่อยๆขยับร่างกายให้เข้าไปใกล้ยูฮวานมากยิ่งขึ้นซึ่งคนออกคำสั่งก็ได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างเงียบๆ
“คือถ้าเราอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้มันจะทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้น...นายไม่รู้หรอ?”เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นแทมินเลยต้องรีบแก้ต่างให้กับตัวเอง
“แล้วใครไปว่าอะไรนายล่ะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น